Tuesday, August 29, 2017

17 เรื่องลับ ๆ ของแมวที่คุณอาจยังไม่เคยรู้


       แม้แมวจะเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ แต่ทว่าเป็นสัตว์ที่น่าค้นหาและมีสิ่งที่เราไม่รู้ซ่อนอยู่เบื้องหลังอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางกายภาพพฤติกรรม หรืออารมณ์ของแมว และเป็นเพราะแมวไม่อาจสื่อสารด้วยภาษาเดียวกันกับคนได้ ดังนั้น Reader's Digest จึงนำเรื่องลับ ๆ ของแมว ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาเปิดเผยให้ทราบกัน มีอะไรบ้าง ทาสแมวลองไปอ่านเลยจ้า

1. แมวมีเซนส์อันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหว

         เนื่องจากใต้อุ้งเท้าของแมวค่อนข้างเซนซิทีฟ ดังนั้นแมวทุกตังจึงสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร ส่วนคุณเองก็สามารถรับรู้ได้เช่นกัน โดยสังเกตได้จากพฤติกรรมแปลก ๆ หรือแตกต่างออกไปจากเดิมนั่นเอง และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีคนบางกลุ่มใช้อุ้งเท้าแมวในการหาค้นหาเหตุแผ่นดินไหวจากแรงสะเทือนด้วย

2. กลืนและย่อยอาหารได้โดยไม่ต้องเคี้ยว

         อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ กระเพาะของแมวสามารถย่อยและดูดกลืนอาหารได้โดยไม่ต้องเคี้ยว ซึ่งถือเป็นข่าวดีมากทีเดียวสำหรับเจ้า ลิล บับ (Lil Bub) หนึ่งในแมวเซเลบชื่อดังจากโลกออนไลน์ เพราะมันเป็นแมวที่ไม่มีฟันตั้งแต่กำเนิด จะได้ไม่มีอะไรให้กังวล

3. แมวเป็นนายที่แท้จริงของบ้าน

          เพราะแมวสามารถเปล่งโทนเสียงเพื่อใช้ควบคุมพฤติกรรมของคนได้ อย่างเช่น ในเวลาที่แมวต้องการจะกินอาหาร มันก็จะใช้โทนเสียงที่ฟังคล้าย ๆ กับเสียงร้องไห้ออกมา เพื่อเป็นการกระตุ้นคุณให้เอาอาหารให้มันเร็วขึ้น เป็นต้น

4. แมวก็มีฝันเหมือนกัน

          ความฝัน มักจะเกิดขึ้นเมื่อแมวอยู่ในภาวะผ่อนคลาย และสบายตัวมากพอที่จะทำให้พวกมันหลับลึก โดยในช่วงดังกล่าวแมวจะมีการสร้างรูปแบบของคลื่นสมองแบบเดียวกันกับเวลาที่คนกำลังฝันนั่นเอง

5. แมวไม่เข้าใจการโดนลงโทษ

          การโดนลงโทษไม่มีผลใด ๆ กับแมวเลย เพราะแมวไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่คุณทำ ดังนั้นถ้าหากคุณต้องการฝึกแมวให้ทำตามคำสั่ง ก็ควรสอนด้วยความอดทน คำชม และตอบแทนด้วยรางวัล ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า

6. การแตะจมูกเป็นการทักทายอย่างหนึ่ง

           เวลาที่เห็นแมวเอาจมูกมาแตะกันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพราะอาการดังกล่าวเป็นแค่การทักทายแบบแมวทั่วไป แต่อย่างไรพวกมันจะทักทายด้วยวิธีดังกล่าวกับแมวที่คุ้นเคยเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีที่การสื่อสารเพื่อเช็กข้อมูลว่า อีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้างนั่นเอง

7. ไม่มีใครรู้ว่า เสียงคราง เกิดจากอะไร

          กระทั่งถึงตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่รู้ว่า เสียงครางของแมวเกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดจากระบบส่วนใดกันแน่ ในขณะที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า เกิดจากบริเวณลำคอ แต่ก็มีบางกลุ่มที่คิดว่า น่าจะเกิดจากระบบไหลเวียนเลือดมากกว่า

8. แมวครางเพื่อแสดงความพอใจ

          ถึงแม้แมวจะครางเมื่อรู้สึกพึงพอใจเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางครั้งที่แมวครางเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยได้เช่นเดียวกัน และถ้าหากคุณคุ้นเคยกับแมวมากพอ ก็จะสามารถแยกความแตกต่างของเสียงครางของแมวได้ด้วยตัวเอง

9. แมวส่งเสียงครางได้นานกว่าที่คิด

          หลายคนอาจจะคิดว่า แมวส่งเสียงครางเป็นบางเวลาและมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ขณะที่กำลังมีความสุขหรือพึงพอใจ แต่แท้จริงแล้วแมวสามารถครางได้นานกว่านั้น แต่บางตัวอาจครางนานเป็นสัปดาห์เลยก็มี

10. ลูกแมวครางได้โทนเสียงเดียว

         ถึงแม้ว่าในขณะที่เป็นลูกแมวจะสามารถส่งเสียงครางได้เพียงโทนเสียงเดียว แต่ทว่าหลังจากที่พวกมันโตขึ้น พวกมันจะสามารถส่งเสียงครางได้ถึง 2-3 โทนเสียงเลยทีเดียว

11. แมวใช้เสียงในการสื่อสารกับเจ้าของ

         แมวจะสื่อสารกับเจ้าของด้วยโทนเสียงเดียวกัน กับที่พวกมันเคยใช้สื่อสารกับเจ้าของตั้งแต่ยังเป็นลูกแมว และจะรักษาโทนเสียงเหล่านั้นเอาไว้ใช้สื่อสารกับเจ้าของเสมอ แต่จะใช้โทนเสียงที่แตกต่างออกไปเมื่อสื่อสารกับแมวตัวอื่น

12. ช็อกโกแลต คืออาหารต้องห้าม

        ไม่ใช่แค่สุนัขเท่านั้นที่ไม่สามารถกินช็อกโกแลตได้ แต่แมวก็กินขนมชนิดนี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะช็อกโกแลตมีสารบางชนิดที่เป็นอันตรายกับหัวใจ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แมวเสียชีวิตได้เลย

13. ไม่ควรผูกมิตรด้วยการสบตา

         เพราะแมวไม่ชอบการสบตา และจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังโดนคุกคาม โดยหากแมวหันไปสบตากับอะไรบางอย่างโดยบังเอิญ พวกมันจะกระพริบตาและหรี่ตาลงทันที ถ้าหากคุณอยากจะผูกมิตรกับแมวก็ควรจะใช้วิธีอื่น หรือมองไปด้านข้างแทนที่จะสบตากับแมวโดยตรง

14. เนื้อสดช่วยบำรุงฟัน

         เนื้อสัตว์สด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ชนิดใดก็ตาม ต่างก็มีประโยชน์กับแมวด้วยกันทั้งนั้น เพราะการเคี้ยวเนื้อสดจะช่วยให้เหงือกและฟันของแมวมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงยิ่งขึ้น

15. ทนต่อความร้อนได้ดี

         สาเหตุที่ทำให้แมวสามารถทนกับความร้อนได้ดีก็เพราะว่า บรรพบุรุษของแมวเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมาก่อน ไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่ในบ้านเหมือนอย่างที่เห็นในปัจจุบันนั่นเอง

16. ชีพจรเปลี่ยนแปลงตามอายุ

         โดยปกติอัตราความเร็วของชีพจรของแมว เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 160-240 ครั้งต่อนาที แต่ทั้งนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยขึ้นอยู่กับช่วงอายุของแมว ซึ่งชีพจรของแมวจะเต้นช้าลงเมื่อแมวมีอายุเพิ่มขึ้น

17. แมวก็มีเหงื่อเหมือนกัน

         ถึงแม้เจ้าของไม่อาจสัมผัสได้จากผิวหนังตามลำตัวของแมว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แมวไม่มีเหงื่อซะเดียว เพราะจริง ๆ แล้วแมวก็มีเหงื่อเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจะปรากฏบริเวณอุ้งเท้านั่นเอง

         ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความลับของแมวทั้ง 17 ข้อที่เรานำมาฝากกันในวันนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงนิสัยกับพฤติกรรมของแมว และเลี้ยงแมวอย่างถูกวิธีมากขึ้นนะคะ

หมายเหตุ : แก้ไขข้อมูลล่าสุดวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 เวลา 14.32 น. ขอบคุณค่ะ

Monday, August 21, 2017

7 วิธีกำจัดกลิ่นอึแมวทั้งในและนอกบ้าน ตอบโจทย์ทั้งคนเลี้ยงและไม่เลี้ยงแมว



 
 
         รวมวิธีกำจัดกลิ่นอึแมวเหม็นกวนจมูกแบบละมุนละไม ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อแมวและคน ปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบบ้านให้น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม

          ปัญหากลิ่นอึแมวเรียกได้ว่าเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับใครหลาย ๆ คน แม้กระทั่งบ้านที่เลี้ยงแมวหรือบ้านที่มีแมวจรจัดเข้ามาอาศัยอยู่ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้กลิ่นเหล่านี้ก็จะทำลายบรรยากาศในบ้าน และหากสูดดมบ่อยก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำวิธีกำจัดกลิ่นอึแมวมาฝากกันค่ะ รับรองได้เลยว่าแต่ละวิธีที่เรานำมานั้น ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายหรือรุนแรงกับแมวแน่นอน เอาเป็นว่าแล้วจะมีวิธีไหนบ้างนั้นต้องไปดูค่ะ

1. น้ำยากำจัดกลิ่นทำเอง

          สูตรนี้เหมาะสำหรับกำจัดกลิ่นฉี่แมวในบ้าน โดยเริ่มจากผสมน้ำส้มสายชูและน้ำเปล่าในปริมาณที่เท่า ๆ กันเทใส่ขวดสเปรย์ แล้วฉีดไปตรงจุดที่แมวฉี่ไว้ ซับออกด้วยทิชชู ทำซ้ำอย่างนี้ประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วใช้ไดร์เป่าให้แห้ง ต่อมานำเบกกิ้งโซดาโรยกลบรอยฉี่แมวให้ทั่ว แล้วผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ¼ ถ้วยตวงกับน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชาให้เข้ากัน เทใส่ขวดสเปรย์เพื่อฉีดพ่นลงบนเบกกิ้งโซดาที่โรยไว้ ใช้แปรงขัดเบา ๆ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วปิดท้ายด้วยใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัดเศษเบกกิ้งโซดาให้หมด

2. น้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ EM

          นอกจากน้ำหมักชีวภาพจะช่วยปรับสภาพดินเพื่อการเกษตรได้แล้ว น้ำหมักยังมีคุณสมบัติที่ช่วยกำจัดกลิ่นอึและฉี่แมวได้อีกด้วย แต่ก่อนอื่นเราต้องทำความสะอาดและเก็บสิ่งปฏิกูลให้เกลี้ยง จากนั้นนำน้ำหมัก (แบบไม่ผสมน้ำเปล่า) มาฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณนั้น ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วล้างออกให้เกลี้ยง

3. กากกาแฟโรยดับกลิ่น

          หากที่บ้านพอจะมีกากกาแฟสดเหลืออยู่บ้าง หรือถ้าไม่มีก็ลองขอซื้อตามร้านกาแฟดูเลยค่ะ แล้วนำกากกาแฟมาผสมกับผิวเปลือกส้ม นำไปกลบไว้ในที่ที่แมวชอบมาฉี่หรืออึ ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นได้ แถมยังมีกลิ่นที่ทำให้แมวไม่กลับมาอึที่เดิมด้วย
4. น้ำส้มสายชูผสมน้ำร้อน

          เราสามารถเอาน้ำสายชูมาประยุกต์เป็นสูตรดับกลิ่นได้หลากหลาย เช่นเดียวกับสูตรนี้เลยค่ะ โดยการนำน้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำร้อน (น้ำเดือด) ให้เข้ากันดี จากนั้นนำไปเทราดบริเวณที่แมวมาทิ้งบอมบ์ไว้ แต่ก่อนราดส่วนผสมอย่าลืมเก็บทำความสะอาดอึแมวให้เรียบร้อยก่อนนะคะ เมื่อราดลงไปแล้ว น้ำส้มสายชูและน้ำร้อนจะช่วยทำความสะอาดไปพร้อม ๆ กับควันระเหยที่ช่วยดับกลิ่น

5. เบกกิ้งโซดาผสมน้ำฉีดไล่กลิ่น


          หากใครไม่ชอบกลิ่นเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู แนะนำให้ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่า กะดูปริมาณให้เข้มข้นพอสมควร พอเข้ากันดีแล้วก็เทใส่ขวดสเปรย์ เพื่อนำไปฉีดพ่นบริเวณที่แมวเคยมาอึและฉี่บ่อย ๆ เพียงเท่านี้กลิ่นฉุนจากของเสียก็จะหายไป หรือจะโรยกลบของเสียไปก็ช่วยได้เหมือนกันค่ะ

6. ดินปลูกต้นไม้ดับกลิ่นได้ แถมปลูกต้นไม้ต่อได้เลย

          ถ้าวิธีอื่นไม่ได้ผล ลองกำจัดด้วยแบบธรรมชาติดูสิคะ ให้หาดินทรายที่เอาไว้ปลูกต้นไม้มาโรยกลบอึแมวให้ทั่ว กลิ่นก็จะหายไป แต่ถ้าไม่อยากให้แมวเข้ามาอึที่เดิม ๆ อีก ให้นำดินมาลงเยอะหน่อย แล้วหาต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมมาปลูกไว้ตรงนั้นไปเลยค่ะ เพราะนอกจากจะช่วยกำจัดกลิ่นและป้องกันไม่ให้แมวมาอึซ้ำได้แล้ว เรายังได้สวนสวย ๆ เพิ่มอีกต่างหาก

7. ลูกเหม็นดับกลิ่นเหม็น ๆ จากอึแมว

          แม้จะชื่อว่า "ลูกเหม็น" แต่คุณสมบัติมันกลับโดดเด่นเหนือชื่อเลยค่ะ เพียงแค่นำลูกเหม็นมาบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน นำไปราดบริเวณที่แมวชอบมาอึทิ้งไว้ เพียงเท่านี้กลิ่นเหม็น ๆ กวนจมูกก็จะหายไป แถมยังไล่ไม่ให้แมวเข้ามาอึได้อีกต่างหาก แต่ต้องระวังอย่าผสมให้กลิ่นลูกเหม็นฉุนแรงจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เราหายใจไม่สะดวกเอาได้

          หวังว่าแต่ละวิธีที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ คงจะไม่มีขั้นตอนไหนที่หายากเกินความสามารถแน่นอน ฉะนั้นถ้าคุณกำลังพบเจอปัญหากลิ่นเหม็นจากอึแมวอยู่ละก็ ลองนำวิธิดับกลิ่นเหล่านี้ไปลองใช้ดูนะคะ และที่สำคัญห้ามใช้วิธีรุนแรงเด็ดขาด เพราะจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bangkokshow, Coffeeindy และ tommysong25
https://home.kapook.com/view172654.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/explore/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7/