Friday, September 30, 2016

สัตว์เลี้ยงของผู้หญิงในญี่ปุ่น




เจ้าของอินสตราแกรม 12catslady ในประเทศญี่ปุ่นได้เผยแพร่ภาพความน่ารักของสัตว์เลี้ยงที่เธอได้เลี้ยงไว้ ซึ่งเป็นแมวสายพันธุ์เปอร์เซียกว่า 12 ตัว ในช่วงแรกเธอเลี้ยงพวกมันเพียงไม่กี่ตัว แต่พวกมันก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาไม่นาน และเธอมีแผนที่จะทำหมันให้พวกมัน


เปอร์เซีย เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเปอร์เซีย หรืออิหร่าน ถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่าง ๆ ทั้งใน ยุโรปและอเมริกาเป็นเวลาเกือบร้อยปีมาแล้ว ลักษณะของหางสั้นเป็นพวงระย้า ที่เด่นมากคือ มีขนที่ลำคอเป็นปุยยาว ฟูและดกมาก



โพสท์โดย: SpiderMeaw
ขอบคุณที่มา: https://www.facebook.com/samrujlok/photos/pcb.10154491594242226/10154491582652226/?type=3&theater
http://board.postjung.com/991648.html

Thursday, September 22, 2016

10 โรคร้ายเสี่ยงตายของหมาและแมว ที่เจ้าของควรระวังไว้ให้ดี




  โรคอันตรายของหมาและแมว ที่เจ้าของพึงหมั่นสังเกตพฤติกรรมและรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันทีหากมีความผิด ปกติ เพราะโรคอันตรายของหมาและแมวทั้ง 10 โรคนี้มีความอันตรายถึงขั้นตายได้เลยทีเดียว

        อย่าชะล่าใจหากพบว่าหมาและแมวที่ บ้านมีพฤติกรรมหรืออาการที่แปลกไป เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายทั้ง 10 โรคนี้ที่อาจส่งผลถึงตายได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการเซื่องซึม กินน้อย ท้องเสีย มีกลิ่นเหม็นคาวจากปาก ซึ่งในวันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอรวบรวม 10 โรคร้ายเสี่ยงอันตรายถึงตายของหมาและแมวมาให้เจ้าของได้รู้และระมัดระวัง ไว้สังเกตพฤติกรรมกับอาการจะได้พาไปพบสัตวแพทย์ได้ทันเวลาหากมีความผิดปกติ ก่อนสายไป
 

1. โรคอ้วน

        สัตว์เลี้ยงที่อ้วนตุ้ยนุ้ยอาจจะดูน่ารักน่าฟัดสำหรับเจ้าของ แต่ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไร หากเหล่าหมาและแมวมีน้ำหนักที่มากเกินไป เพราะโรคอ้วนทำให้สัตว์เลี้ยงเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคไขข้ออักเสบ สำหรับวิธีดูแลหรือรักษาที่เจ้าของทำได้ก็คือ การช่วยควบคุมอาหารและพาไปออกกำลังกายเป็นประจำ 


2. พยาธิหนอนหัวใจ

        โรคนี้มียุงเป็นพาหะ ส่วนมากจะเกิดกับหมามากกว่าแมว หมาที่ติดเชื้อจะมีอาการซึม เหนื่อยง่าย หายใจหอบ ร่างกายอ่อนเพลีย ไอแห้ง ๆ บางตัวจะมีเลือดออกมาด้วยเมื่อไอ ต่อมาจะบวมน้ำ เป็นท้องมาน และตายในที่สุด การรักษาด้วยการฉีดยามีความเสี่ยงสูง อาจมีผลข้างเคียงถึงขั้นตาย เนื่องจากตัวแก่ของพยาธิหนอนหัวใจที่ตายแล้วเข้าไปอุดหลอดเลือด
 

3. โรคเกี่ยวกับฟันและช่องปาก

        หมาและแมวที่มีกลิ่นปากไม่ใช่เรื่องตลก ถ้าพบว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับช่องปาก เช่น ฟันผุหรือโรคเหงือก ควรพาไปรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากการรักษามีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งยังอาจจะนำไปสู่โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและไตได้ สำหรับวิธีป้องกันให้หาขนมหรือของเล่นขัดฟันให้แทะ


4. โรคไวรัสลำไส้อักเสบ

        โรคลำไส้อักเสบเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่มักจะเกิดขึ้นกับลูกหมาหรือลูกแมวที่ ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน โดยเชื้อจะเข้าสู่รางกายจากการสัมผัสโดยตรงกับอุจจาระของหมาที่เป็นโรคไวรัส ลำไส้อักเสบ จากการกิน เลียอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หมาและแมวที่ติดเชื้อจะมีอาการซึม อาเจียน ไม่กินอาหารเลย กินแต่น้ำ ในระยะท้ายจะถ่ายเป็นมูกเลือด กลิ่นเหม็นคาวจัด การป้องกันทำได้โดยการฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 45-60 วัน และฉีดวัคซีนกระตุ้นทุก 2-3 สัปดาห์ จนกว่าอายุจะครบ 4 เดือน จากนั้นให้ฉีดกระตุ้นติดต่อกันทุกปี
 

5. โรคไข้หัดสุนัข

        เป็นโรคที่พบได้ในสุนัขอายุ 2-6 เดือน เชื้อไวรัสไข้หัดสุนัขจะปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น ตามร้านขายสุนัขที่ไม่สะอาด ตามกรง ชามน้ำ อาหาร หรือแม้แต่มือของคนก็สามารถเป็นพาหะนำเชื้อได้ หมาที่ได้รับเชื้อจะมีอาการเบื่ออาหาร ไข้ มีน้ำมูก น้ำตา ตาอักเสบ ปอดบวม บางราย อาเจียน ท้องเสีย และพบตุ่มหนองใต้ท้อง ส่วนใหญ่แล้วสุนัขที่เป็นโรคนี้มักจะตาย เนื่องจากยังไม่มีทางรักษาเฉพาะ แต่ทั้งนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน
 

6. โรคพิษสุนัขบ้า

        โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากเชื้อไวรัสเรบีส์ (Rabies Virus) ซึ่งเชื้อนี้จะก่อโรคในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเลือดอุ่นทุกชนิด แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับหมามากที่สุด ปัจจุบันยังไม่มียารักษา ส่วนใหญ่ทั้งสัตว์และคนที่ติดเชื้อจะเสียชีวิต แต่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน


7. โรคติดต่อจากเห็บและหมัด

        เห็บและหมัดนอกจากจะดูดเลือดและทำให้ระคายเคืองผิวหนังแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคพยาธิในเม็ดเลือด สาเหตุของโรคมาจากปรสิตที่อยู่ในตัวเห็บและหมัด สำหรับการป้องกันคือ หมั่นกำจัดเห็บและหมัดในหมาและแมว รวมถึงบริเวณที่นอนและสนามหญ้าในบ้านด้วย
 

8. โรคข้ออักเสบ

        โรคนี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อกระดูกต่าง ๆ ส่วนมากมักจะเกิดกับหมาและแมวที่มีอายุมาก ขยับตัวช้า โดยเฉพาะตอนลุกยืน เนื่องจากปวดไขข้อ การรักษาสัตวแพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ ทั้งนี้สามารถป้องกันได้โดยการควบคุมน้ำหนักและพาไปออกกำลังเป็นประจำ

9. เบาหวาน

        หมาและแมวก็สามารถเป็นโรคเบาหวานได้เช่นเดียวกับคน สาเหตุหลักมาจากโรคอ้วน ซึ่งสามารถควบคุมน้ำหนักได้ โดยการเลือกอาหารและออกกำลังกาย สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจจะต้องฉีดยาควบคุมระดับน้ำตาลก่อนการกินอาหารร่วมด้วย
 

10. โรคไตวาย

        โรคไตวายสามารถพบได้ทั้งในหมาและแมว ส่วนมากจะตรวจเจอในแมวที่มีอายุเยอะ สาเหตุของโรคนี้มาจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น อายุ สายพันธุ์ รวมถึงนิสัยการกิน สัตว์ที่เป็นโรคไตวายจะมีอาการซึมเศร้า น้ำหนักลด ขนหยาบแห้ง มีกลิ่นปาก โดยส่วนมากจะรักษาตามอาการ
 

        โรคร้ายทั้ง 10 ชนิดเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากการกิน แหล่งที่อยู่ และการออกกำลังกาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เจ้าของสามารถควบคุมได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หมาและแมวเป็นโรคเหล่านี้ เจ้าของก็ต้องคอยดูแล หมั่นสังเกตพฤติกรรม และพาไปพบสัตวแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
http://pet.kapook.com/view156886.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/290341507202753969/

Wednesday, September 21, 2016

เปิดโลกเล็ก ๆ ของเหมียว ออโรร่า เจ้าหญิงน้อยในร่างแมวขนฟูผู้น่ารัก !!!




      ออโรร่า แมวแร็กดอลล์ เพศเมีย จากประเทศสวีเดน ที่มีออร่าความน่ารักแบบเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ จนมีทาสแมวเป็นแฟนคลับในอินสตาแกรมแล้วกว่า 8 หมื่นคน ว่าแล้วก็ตามไปชมโลกเล็ก ๆ ของออโรร่ากันเลย

 
        หากชอบแมวขน ฟู ตัวกลม ๆ หน้าตาจิ้มลิ้ม ดูเอาแต่ใจนิด ๆ รับรองเลยว่าเสน่ห์ของเจ้าออโรร่า (Aurora) แมวแร็กดอลล์ เพศเมีย จากประเทศสวีเดน ตัวนี้ น่าจะทำให้คุณกลายเป็นแฟนคลับอีกคนได้ไม่ยาก เพราะแคปชั่นขำ ๆ ที่ เอมิลี่ (Emily) และ นิกคลาส (Niklas) นำมาโพสต์ให้อ่านเต็มไปหมด ส่วนรูปของเจ้าออโรร่าในอินสตาแกรม aurorapurr ก็สวยงามน่ามอง ดูยังไงก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย

 
        เจ้าของเผยว่า ออโรร่า (Aurora) เป็นชื่อที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการ์ตูนเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) บวกกับหน้าตาสวย ๆ ของมันแล้ว เลยได้รับฉายาเจ้าหญิงแมวแห่งอินสตาแกรมไปแล้วเรียบร้อย ซึ่งตอนนี้มีคนติดตามแล้ว 8 หมื่นกว่าคน โดยแต่ละรูปในอินสตาแกรมของเจ้าเหมียวออโรร่าก็มีท่าทางเหมือนกำลังนั่งสั่ง เจ้าของให้ทำนู่น ทำนี่ ราวกับเป็นเจ้าหญิงที่เอาแต่ใจด้วยล่ะ

 
        แต่ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องที่เจ้าของทำเพื่อความฮาเท่านั้น เพราะที่จริงแล้วเจ้าออโรร่าเป็นแมวที่มีนิสัยน่ารักมาก แถมยังซื่อสัตย์ต่อเจ้าของไม่ต่างจากสุนัขเลยล่ะ


















ขอขอบคุณภาพประกอบจาก อินสตาแกรม aurorapurr
http://pet.kapook.com/view156184.html

Monday, September 12, 2016

วิธีรับมือแมวซนกลางดึก จนทาสแมวไม่ได้หลับไม่ได้นอน




         เคยไหมที่เจ้าแมวน้อยของคุณคอยกวนตลอดทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงร้อง หรือข่วนประตู ทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้สนิท และเหตุผลที่น้องแมวเป็นแบบนี้ในเวลากลางคืนก็เพราะ ยิ่งเจ้าของสนใจในพฤติกรรมของน้องแมวมากเท่าไรก็จะยิ่งทำให้น้องแมวคิดว่า สิ่งที่มันกำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไรล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบให้ทาสแมวได้ลองนำไปแก้เผ็ดเจ้าเหมียวสุดที่รัก กันค่ะ

  1. เหนื่อยซะจะได้พัก

          การที่ขังแมวไว้ข้างนอกห้องอาจจะไม่ได้ผลเสมอไป เพราะถ้าคุณขังแมวนอกห้องนอน มันก็จะเริ่มส่งเสียงร้องและขูดประตูเพื่อที่จะดิ้นรนเข้าไปในห้องให้ได้ และจะทำให้เจ้าของเองก็นอนไม่หลับไปด้วยเช่นกัน ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือให้หากิจกรรมให้น้องเหมียวทำในตอนกลางวันเพื่อให้ เจ้าเหมียวรู้สึกเหนื่อย พอถึงเวลากลางคืนมันจะรู้สึกอยากพักผ่อนไปเอง

  2. ทำหน้าต่างให้ชมวิว

          ติดตั้งหน้าต่างที่แมวสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ เพราะแมวเป็นสัตว์ที่อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา การที่ติดตั้งหน้าต่างที่ทำให้เจ้าเหมียวเห็นบรรยากาศภายนอก จะทำให้มันเกิดความสนใจมากขึ้น ซึ่งแมวจะใช้เวลาเหล่านี้มองไปยังนอกหน้าต่าง ๆ แทนที่จะหลับทั้งวันและตาสว่างตอนกลางคืน

  3. เลี้ยงนกไว้ใกล้ ๆ หน้าต่าง

          ลองหากรงนกมาเลี้ยงไว้ใกล้ ๆ หน้าต่าง เพราะจะช่วยดึงดูดความสนใจน้องแมวอย่างน้อยก็ 4-5 ชั่วโมง นี่จะเป็นอีกวิธีหนึ่งจะทำให้แมวของคุณใช้เวลากลางวันไปกับจ้องดูเจ้านกน้อย ในกรง จนเสียพลังงานไปไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นพอถึงเวลานอนกลางคืนมันก็จะรู้สึกเหนื่อยและนอนหลับสนิทจนไม่อยาก มากวนใจคุณอีก

  4. หาของเล่นให้แก้เหงา

          หาซื้อของเล่นมาให้แมวเล่นเพลิน ๆ เพื่อจะได้ไม่มากวนคุณในเวลาที่ต้องการพักผ่อน และเมื่อน้องแมวมีของเล่นแล้วก็จะทำให้ใช้เวลาอยู่กับของเล่นนี้นานขึ้น ถือเป็นการช่วยให้แมวได้ออกกำลังกายอีกวิธีหนึ่ง และเมื่อออกกำลังกายมาทั้งวัน การนอนหลับในยามค่ำคืนก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว


  5. เลิกสนใจพฤติกรรมที่เรียกร้องความสนใจ

          ถึงแม้ว่าน้องแมวจะมากวนคุณในเวลากลางคืนมากแค่ไหน สำคัญที่ว่าคุณไม่ควรสนใจในพฤติกรรมของมันมากเกินไป เพราะถ้าคุณให้ความสนใจเมื่อไร ก็จะทำให้แมวคิดว่าสิ่งที่มันทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเจ้าเหมียวมาขูดประตูห้องก็ทำเป็นไม่สนใจ โดยการหาหูฟังมาปิดหูเพื่อกันเสียงรบกวน เมื่อคุณทำอย่างนี้บ่อยขึ้นเจ้าเหมียวก็จะเลิกพฤติกรรมที่ไม่ได้ผลเหล่านี้ ไปเองในที่สุด

          ไม่ยากเลยใช่ไหมคะกับการที่จะทำให้น้องแมวนิ่งสงบในเวลากลางคืน เพียงแค่คุณหากิจกรรมระหว่างวันให้ทำ จนแมวรู้สึกเหนื่อยและอยากพักผ่อน รับรองว่าทั้งคุณและเจ้าเหมียวจะพากันหลับสนิททั้งคืนเลยล่ะ


เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/346706871325224009/

Sunday, September 11, 2016

วิจัยเผย ดูภาพตูบ-เหมียวน้อยน่ารัก เพิ่มพลังในการทำงาน


            เคยไหม?.. ที่เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อมองเห็นลูกสุนัขหรือลูกแมวแสนซนปนน่ารัก ที่เห็นอยู่ตรงหน้า ถ้าคุณเคย.. แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันนะ? หลายคนคงจะตอบว่า ก็เพราะมัน "น่ารัก" น่ะสิ  ถ้าคุณตอบแบบนี้ แสดงว่า ความน่ารัก นั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตเราอยู่ไม่น้อย มันทำให้เรายิ้มได้ในวันที่มีความทุกข์ ปลุกพลังบวกให้เกิดขึ้นได้ในชีวิต และอาจเป็นพลังที่จะทำให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จต่อไป...

           ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการวิจัยชิ้นล่าสุด เรื่อง พลังแห่งความน่ารัก (The Power of Kawaii) ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อดัง PLOS One ซึ่งผลการทดลองพบว่า การดูภาพ ลูกแมว หรือลูกสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน่าเอ็นดู ส่งผลช่วยกระตุ้นให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพิ่มความถูกต้องแม่นยำ สร้างสมาธิ แถมยังทำให้เกิดความคล่องแคล่วมากขึ้นด้วย

          โดย ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยฮิโรชิมา ทำการทดลองจากกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี 48 คน เป็นจำนวนชาย-หญิง เท่ากัน โดยนำมาทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อทดสอบวัดระดับการรับรู้ และความคล่องแคล่วชำนาญ ทั้งทดสอบทักษะการเคลื่อนไหว ตามมาด้วยแข่งกันหาตัวเลขในตาราง และบททดสอบสมาธิและความสนใจของนักศึกษา โดยแบ่งกลุ่มเก็บคะแนนออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้ดูภาพลูกสุนัขลูกแมว, ภาพสุนัขและแมวที่โตแล้ว และภาพอาหารที่น่ารับประทาน ผลการทดลองปรากฏว่า ในทุกบททดสอบ กลุ่มนักศึกษาที่ได้ดูภาพลูกสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก สามารถทำคะแนนในแต่ละกิจกรรมได้ดีกว่านักศึกษากลุ่มอื่น

           จากการทดลองนี้จึงยืนยันว่า ความน่ารักไม่ใช่แค่ทำให้คนเรามีความสุข แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมของเราด้วย โดยการเห็นภาพน่ารักมีแนวโน้มทำให้มีสมาธิที่ดี ใจเย็นลง เอาใจใส่ต่อสิ่งที่ทำอยู่ได้มาก และการประมวลผลก็เป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่ต้องการความระมัดระวังและความตั้งใจมากเป็นพิเศษ

           ได้อ่านงานวิจัยที่ยืนยันแบบนี้แล้ว เห็นทีนั่งทำงานอยู่ แล้วรู้สึกเครียด ๆ คงต้องเปิดมาดูรูปเจ้าตูบ เจ้าเหมียวน้อย ให้หัวใจได้ยิ้มบ้างแล้วล่ะ ^_____^


Saturday, September 10, 2016

ทาสแมวรู้ไหม เลี้ยงแมวทำให้หายเครียดได้นะ



           แม้แมวจะไม่สามารถช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับบ้านและครอบครัวที่เลี้ยงพวกมันได้อย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่รู้หรือไม่ว่าการเลี้ยงแมวมีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะอย่างน้อยเจ้าสัตว์เลี้ยง 4 ขาตัวเล็ก ๆ นี้ก็ช่วยให้เจ้าของและครอบครัวของพวกมันหายเครียด ผ่านวิธีที่แมวใช้บำบัดให้กับเจ้านายดังต่อไปนี้ ..


1. มอบความสุขด้วยร่างกาย

          ใครล่ะจะไม่อยากอยู่บ้านโดยเฉพาะเวลาที่มีแมวมาร้องเหมียว ๆ เดินคลอเคลียอยู่ที่ขา หรือชอบทิ้งตัวลงนอนแล้วรอให้เจ้าของเกาคางให้ เพราะนอกจากอากัปกิริยาที่ดูน่ารักน่าชัง การสัมผัสแมวหรือการลูบขนแมวต่างก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะทำให้เจ้าของ แมวทั้งหลายรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ แถมยังมีความสุขไปพร้อม ๆ กันทั้ง 2 ฝ่ายอีกด้วย



2. ใช้หัวใจปลอบประโลม

          หลายครั้งที่นิสัยกับพฤติกรรมของแมวทำให้คนส่วนใหญ่หลงเสน่ห์ จนกระทั่งในที่สุดก็ตกเป็นทาสพวกมันแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็เลยส่งผลให้อยากจะรับแมวมาเลี้ยงดู และอดไม่ได้ที่จะกอด หอม หรือจับมาถ่ายรูปคู่ อย่างที่ปรากฏให้เห็นกันเป็นประจำตามโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมไปถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับแมวที่มักจะเรียกรอยยิ้มได้ทุกครั้ง



3. ตอบสนองเพื่อทำให้ผ่อนคลาย

          เจ้าของหลายคนอาจจะไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงเวลาที่พวกคุณรู้สึกเครียด ว่า การตอบสนองของแมวไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงร้องคล้าย ๆ กำลังจะพยายามพูดคุยกับคุณ หรืออะไรก็ตามแต่ที่แมวมีการตอบสนองกลับมาหลังจากที่เจ้าของเล่นด้วย เป็นวิธีการอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าของแมวรู้สึกผ่อนคลาย หายเครียดและทำให้จิตใจสงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นเดียวกัน



4. ช่วยให้เกิดสมาธิ

          การเลี้ยงแมวไว้ในบ้านก็เหมือนกับการได้ฝึกสมาธิ ไปในตัว เพราะการเลี้ยงแมวก็เป็นการฝึกให้จิตใจสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้นาน ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่เจ้าของดูแล ให้อาหาร เล่นกับแมว หรือแม้กระทั่งนั่งดูพฤติกรรมของแมว โดยถ้าหากสังเกตให้ดี ๆ ก็จะเห็นว่าในช่วงเวลาดังกล่าวคุณแทบจะไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยนอกเสียจากการทำ ให้เจ้าเหมียวที่อยู่ตรงหน้ามีความสุขมากที่สุดนั่นเอง



          การเลี้ยงแมวช่วยผ่อนคลายความเครียดให้กับผู้ที่เลี้ยงพวกมันไว้ได้อย่างแน่ นอน นอกเหนือจากแล้วการเลี้ยงก็ไม่ได้เป็นภาระอย่างที่คิด หากแต่พวกมันจะนำความสุข สนุกสนาน และช่วยสร้างเสียงหัวเราะให้กับครอบครัวของพวกมันมากกว่านะคะ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เครดิตภาพ
https://www.pinterest.com/pin/1022317184136852990/

Thursday, September 8, 2016

9 วิธีกำจัดหมัดแมวแบบธรรมชาติ ไม่เป็นอันตรายต่อเหมียวและทาส


วิธีกำจัดหมัดแมวแบบ ธรรมชาติ ไม่เป็นอันตรายต่อแมวและทาสแมว หากแก้ปัญหาเรื่องหมัดแมวไม่ได้เสียที วันนี้เรามี 9 วิธีกำจัดหมัดแมวแบบธรรมชาติมาบอกต่อ ให้ทาสแมวนำไปใช้แล้วค่ะ

        หมัดบนตัวแมว เป็นอีกปัญหาที่คนเลี้ยงแมวต้องเจอ สำหรับแมวที่แพ้น้ำลายหมัดด้วยแล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เจ้าเหมียวจะเกาจนกระทั่งเป็นแผล ขนหลุดร่วงเป็นหย่อม ๆ เชียวแหละ และนอกจากจะอยู่บนตัวแมวแล้ว หมัดเหล่านั้นยังแพร่พันธุ์ในบ้าน ทำให้เจ้าของและคนที่อาศัยอยู่ในบ้านได้รับผลกระทบไปด้วย แต่หากใช้สารเคมีก็อาจจะเป็นอันตรายกับแมวและคนได้ ดังนั้นกระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวมวิธีกำจัดหมัดแมวด้วยวิธีธรรมชาติมาฝาก ซึ่งมี 9 วิธีดังต่อไปนี้


1. ใช้หวีซี่ถี่แปรงขน

        หวีธรรมดาที่ใช้แปรงกำจัดขนแมวอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับหมัดบนตัวแมว ดังนั้นในการกำจัดหมัดควรใช้หวีซี่ถี่หรือหวีเสนียดกำจัดเหาก็ได้ วิธีใช้ให้จุ่มหวีในน้ำมะนาวให้ชุ่ม จากนั้นแปรงขนทั่วตัวแมวตามปกติ กำจัดหมัดที่ติดมากับหวี และไม่ต้องอาบน้ำแมวตาม เพราะกลิ่นของมะนาวจะช่วยป้องกันไม่ให้หมัดไต่กลับมาอีก  

2. สูตรน้ำส้มสายชูผสมแชมพู

        ใช้น้ำส้มสายชูหมักจากผลแอปเปิล (Apple Cider Vinegar) หรือน้ำส้มสายชูธรรมดาก็ได้ ซึ่งสามารถใช้กำจัดหมัดแมว 2 วิธี วิธีแรกให้ผสมน้ำส้มสายชูกับแชมพูอาบน้ำแมว พรมใส่หัวแมวก่อนอุ้มไปอาบน้ำ เพราะหมัดมักจะวิ่งไปอยู่บนหัวของแมวตอนอาบน้ำ ส่วนวิธีที่ 2 ให้ฉีดน้ำส้มสายชูใส่ขนแมวก่อนอาบน้ำทิ้งไว้ 5 นาที หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็แปรงขนด้วยหวีซี่ถี่เพื่อกำจัดหมัดแมวที่ยังเหลืออยู่ออกไป


3. ดินเบากำจัดแมลง 

        นอกจากดินเบาจะสามารถกำจัดแมลงสำหรับการเกษตรกรรมได้แล้ว ยังสามารถใช้กำจัดหมัดบนตัวหมาและแมวได้ด้วย โดยดินเบาที่ใช้ควรเป็นดินเบาแบบฟู้ดเกรด เพื่อความปลอดภัยทั้งของเจ้าเหมียวและตัวเจ้าของเอง ก่อนการใช้ให้สวมถุงมือยางให้เรียบร้อย เทดินเบาลงบนมือพอประมาณ จากนั้นใช้มือสางขนแมวให้ทั่วทุกซอกทุกมุม วิธีนี้สามารถทำได้ทุกวัน
 
4. ใช้ไฟล่อแมลง

        ผสมน้ำยาล้างจานและน้ำอุ่นใส่ภาชนะ จากนั้นนำไปวางใต้ไฟล่อแมลงตอนกลางคืน หมัดแมวที่เกาะตามพรมหรือตามเบาะจะเดินเข้าหาแสงไฟและความร้อนของน้ำ เมื่อหมัดแมวตกลงไปน้ำอุ่น กรดอ่อน ๆ ของน้ำยาล้างจานจะทำให้หมัดแมวตายไปเอง


5. ดูดฝุ่นกำจัดไข่หมัด

        หมัดว่าตัวเล็กแล้ว ไข่หมัดยิ่งเล็กกว่า ดีไม่ดีตามพรมและตามพื้นบ้านอาจจะมีไข่หมัดและตัวหมัดอยู่ก็ได้ สำหรับวิธีกำจัดให้ใช้เกลือป่นโรยตามพรม ทิ้งไว้สักพัก หลังจากนั้นใช้เครื่องดุดฝุ่นทำความสะอาด ดูดฝุ่นหลาย ๆ รอบจนไม่มีเกลือเหลืออยู่ตามซอกพรม
 
6. ทำความสะอาดเบาะแมว

        อีกหนึ่งจุดที่หมัดชอบอยู่คือ ตามเบาะหรือที่นอนของแมว การซักและทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกแบบธรรมดาอาจจะทำให้เบาะดูสะอาดขึ้น แต่ประสิทธิภาพในการกำจัดหมัดอาจจะยังทำได้ไม่ดีนัก ซึ่งสามารถใช้ดินเบาถูตามเบาะและที่นอนของแมวได้เช่นกัน ถูแล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาด จากนั้นค่อยนำไปซักและผึ่งแดด  

7. แชมพูใบโรสแมรี่

        ต้มใบโรสแมรี่สดกับน้ำสะอาด เมื่อน้ำเดือดแล้วยกหม้อลง ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีหรือรอจนน้ำเย็น จากนั้นเทน้ำใบโรสแมรี่ต้มใส่กะละมัง อุ้มเจ้าเหมียวลงไปแช่เหมือนกับการอาบน้ำปกติ  เสร็จแล้วเช็ดขนให้แห้ง โดยที่ไม่ต้องอาบน้ำด้วยสบู่ซ้ำ


8. กำจัดด้วยชาเอิร์ลเกรย์

        ชาเอิร์ลเกรย์ที่นิยมชงดื่มมีคุณสมบัติช่วยไล่แมลงและหมัดเช่นกัน ทั้งนี้วิธีใช้จะไม่ใช้โรยบนตัวแมวโดยตรง แต่ให้โรยตามพรมแล้วทิ้งไว้ประมาณ 1-2 วัน จากนั้นใช้เครื่องดุดฝุ่นทำความสะอาดตามอีกรอบ
 
9. สเปรย์ไล่หมัดแบบธรรมชาติ

        ผสมน้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันสะระแหน่ น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำมันกานพลู น้ำสะอาด เข้าด้วยกันแล้วนำใส่ขวดสเปรย์ สุดท้ายโรยผงกระเทียมลงไปเล็กน้อย เขย่าให้เข้ากัน แล้วฉีดสเปรย์ตามแขนและขา สามารถฉีดบนตัวแมวโดยตรงได้เช่นกัน หลังฉีดไม่ต้องอาบน้ำตาม เพราะนอกจากสเปรย์ช่วยไล่หมัดแล้วยังช่วยป้องกันไม่ให้หมัดกลับมาอีก
 
        สำหรับวิธีกำจัดหมัดแมวที่เรานำมาฝากจะเห็นได้ว่าเป็นวิธีที่ไม่ยากเลย ส่วนผสมบางชนิดนั้นสามารถหาได้ในครัว แต่อย่างไรก็ตามวิธีเหล่านี้ก็เป็นแค่การไล่หมัดออกจากตัวแมวและ เฟอร์นิเจอร์ในบ้านเท่านั้น เพื่อเป็นการกำจัดให้สิ้นซาก แนะนำให้หมั่นทำความสะอาดบ้านและตามพื้นที่ที่เจ้าเหมียวอยู่เป็นประจำจะดีที่สุด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก everydayroots, petmd และ homeremedyshop