Sunday, October 29, 2017

เชื้อราในแมว...ภัยร้ายแก่เจ้าของ




เชื้อราในแมว...ภัยร้ายแก่เจ้าของ (Cat magazine)
Cat Care เรื่องและภาพ : โรงพยาบาลสัตว์สัตวแพทย์ 4

           เคยบ้างไหมที่น้องแมวแสนน่ารักของท่านมีขนร่วงเป็นวงหย่อมๆ ตอนแรก ๆ มีตุ่มเล็ก ๆ เกิดขึ้น แล้วก็เป็นสะเก็ดขนเริ่มร่วง มีอาการคัน หลังจากนั้นไม่นานคุณเจ้าของก็จะมีอาการคันตามลำตัว ผิวหนังเริ่มแดงและเป็นวง สัญญาณเหล่านี้บ่งบอกว่าแมวของท่านอาจติดเชื้อรานั่นเองค่ะ

มันคือเชื้ออะไรกันหนอ

           เชื้อราในแมวทางการแพทย์เราจะเรียกกันว่า ringworm หรือ dermatopytosis สามารถติดได้บริเวณที่เป็น ขน ผิวหนัง เล็บ ทั้งของคน สุนัข แมว เป็นต้น โดยจะมีเชื้อหลักๆ อยู่ 3 ชนิดคือ Microsporum canis, Microsporum jypseum และ Trichophyton spp. โดยตัวที่จะติดจากแมวสู่แมวอีกตัวก็คือ สปอร์ของเชื้อรานั่นเองค่ะ

เชื้อรามาจากไหน

           คำตอบคือเชื้อราเหล่านี้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมอยู่แล้วค่ะ โดยมากเชื้อเหล่านี้จะชอบอุณหภูมิร้อนขึ้น ซึ่งเป็นสภาพอากาศของประเทศไทย โดยสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน 2 ปี ส่วนมากจะอยู่ตามแปรงหวีขน ตะกร้า เบาะนอน หากแมวใช้อุปกรณ์เหล่านี้ร่วมกันก็สามารถติดต่อถึงกันได้ค่ะ

อาการที่บ่งบอก

           น้องแมวมีอาการคัน มีสะเก็ดร่วงเหมือนรังแคของคน ขนจะกระจุกเป็นก้อน ๆ เหนียว ๆ ขนร่วงเป็นวง ๆ ในบางตัวใบหน้าบริเวณจมูกจะมีการถลอกลอกของผิวหนังค่ะ ซึ่งอาการเหล่านี้มักแสดงออกมาในแมวเด็ก แมวแก่ หรือเป็นแมวที่ภูมิคุ้มกันต่ำนั่นเอง

การวินิจฉัย

           การเพาะเชื้อบนอาหารเลี้ยงเชื้อ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-18 วัน จากนั้นก็เอาเชื้อรามาย้อมสี

           การส่องไฟ Wood’s lamp technique หากเป็นเชื้อรา บริเวณรอยโรคจะขึ้นเป็นสีสะท้อนแสงออกมาค่ะ

การรักษา

           มีทั้งการฟอกด้วยแชมพูฆ่าเชื้อรา และการกินยา นอกจากนี้ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ภาชนะต่าง ๆ ที่น้องแมวใช้ด้วยนะคะ ซักด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ พร้อมทั้งตากแดดให้แห้งค่ะ

           แต่อย่างไรก็ดีหากแมวของเรามีภูมิที่แข็งแรงโรคเหล่านี้ก็สามารถหายไปได้เองค่ะ

ถ้าในบ้านมีแมวเป็น 1 ตัว แล้วที่เหลือควรทำอย่างไรคะ

           คำตอบคือแน่นอนแมวที่เหลือหากแมวนั้นมีการสัมผัสกัน หรือใช้อุปกรณ์ร่วมกัน อาจติดเชื้อราแต่แอบแฝงอาการไว้ได้ อย่างน้อยเราควรรักษาแบบทั้งฝูงไปก่อนนะคะ

ติดคนได้ไหมคะ

           สามารถติดได้ทั้งคน และสุนัขค่ะ โดยมากเมื่อเจ้าของแมวพาแมวมาหาหมอ พอหมอแจ้งว่าเป็นเชื้อราซึ่งสามารถติดคนได้ เจ้าของก็จะโชว์แขนที่มีวง ๆ ให้หมอดูว่า "หมอคะ ใช่วงแดง" คัน ๆ นี่หรือเปล่าคะหมอ?"

ขอขอบคุณข้อมูลจาก                                                                              
Cat magazine
https://pet.kapook.com/view32188.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/shancoolherd/feline-creatures-great-and-small/

Wednesday, October 25, 2017

แมวในบ้านทะเลาะกัน ทำอย่างไรดี?



แมวในบ้านทะเลาะกัน ทำอย่างไรดี? (Cat Magazine)
เรื่อง : น.สพ.กมล ภาคย์ประเสริฐ

            สำหรับบ้านที่เลี้ยงแมว (หมู่) มีปัญหาแมวทะเลาะกันบ้างไหมครับ การทะเลาะเบาะแว้งกันของแมวที่เลี้ยงไว้อยู่ด้วยกัน มีได้หลายสาเหตุ เช่น ความเครียด ความกังวล และความไม่สมหวัง หากต้องการแก้ปัญหาให้ตรงจุด เจ้าของจำเป็นต้องฝึกการสังเกตการแสดงออกของท่าทาง สีหน้า และน้ำเสียงของแมวในช่วงก่อน, ระหว่าง และหลังจากที่แมวทะเลาะกัน และสังเกตถึงบริเวณที่แมวมักจะทะเลาะกันด้วย การทะเลาะกันของแมวภายในบ้าน หากไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากจะทำให้บาดเจ็บทางร่างกายแล้ว ยังมีผลกระทบต่อจิตใจของแมว ทำให้เกิดความเครียดและอาจนำไปสู่ปัญหาพฤติกรรมอื่น เช่น การปัสสาวะไม่เป็นที่ การเลียตัวเองตลอดเวลา หรือโรคอ้วนได้

ภาษากาย และสีหน้าแมวที่ควรรู้


            การสังเกตสีหน้าและท่าทางจะช่วยให้เราแยกแมวที่มีความก้าวร้าวจริงๆ ออกจากแมวที่แสดงความก้าวร้าวเพราะความกลัวได้ แมวที่มีอาการกลัวอาจจะส่งเสียงขู่ฟ่อ ขนลุกขัน โก่งหลังขึ้น ม่านตาขยาย และตะแคงด้านข้างลำตัวเข้าหาผู้รุกรานเพื่อเป็นการขู่ เพราะจะทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้น หากสังเกตที่หูจะพบว่าแมวที่ก้าวร้าวเพราะความกลัวหูจะหมุนลงด้านข้างและลู่ไปทางด้านหลัง แมวจะแสดงอาการอย่างนี้ ต่อเมื่ออยู่ในสภาพที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ไม่สามารถหนีได้จึงจำเป็นต้องสู้ ในขณะที่แมวที่เป็นฝ่ายรุกรานแมวตัวอื่นส่วนหูมักจะหันไปด้านหลังแต่ปลายใบหูจะยกขึ้น จะใช้สายตาจ้องมองขู่ และอาจเข้าไปขวางทางเดินหรือเดินเข้าไปหาแมวตัวอื่นอย่างมั่นใจ

            เมื่อคุณอ่านภาษากายของแมวเป็นแล้ว ก็เริ่มจดบันทึกได้เลยครับว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในบ้านบ้างที่บริเวณไหน แมวตัวไหนแสดงความก้าวร้าวเฉพาะต่อเมื่อถูกรุกกราน และเหตุการณ์ที่แมวในบ้านแสดงอาการขู่ฟ่อ ตะปบ ข่วน คำราม วิ่งไล่ กัด หรือตะลุมบอนกันเกิดขึ้นบ่อยมากน้อยแค่ไหน

วิเคราะห์แก๊งแมวในบ้าน

            การเก็บข้อมูลขั้นต่อมา คือ ดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับแมวและปฏิสัมพันธ์ระหว่างแมวกับแมวตัวอื่น สำรวจดูก่อนครับว่าแมวในบ้านตัวไหนอยู่กลุ่มเดียวกันบ้าง โดยดูจากพฤติกรรมการเลียแต่งตัวให้กันการเอาคางไปถูกัน และการใช้ชามน้ำ ชามอาหาร พร้อมกัน หรือมักจะพักผ่อนนอนเล่นที่บริเวณเดียวกัน ใช้เวลาจดบันทึก 1 ถึง 2 สัปดาห์ว่าแมวแต่ละกลุ่มมีการใช้สอยพื้นที่ตรงไหนของบ้านบ้าง คราวนี้เราจะมาลงรายละเอียดในส่วนของเหตุการณ์วิวาท ต้องสังเกตครับว่าอะไรคือปัจจัยกระตุ้น และแมวตัวไหนมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ ต้องดูต่อไปถึงอาการเครียดของแมวที่ตกเป็นเหยื่อว่ามีอาการมากน้อยแค่ไหน เช่น หลบซ่อนตัว ไม่ค่อยออกมากินอาหารไม่เลียขนหรือไม่ยอมออกมาใช้กระบะทราย

สาเหตุที่แมวทะเลาะกัน มีอะไรบ้าง

            สาเหตุของความก้าวร้าวที่พบได้บ่อย ได้แก่ การหวงพื้นที่ การเปลี่ยนสถานะทางสังคม ความกลัว กระระบายความเครียด แมวที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว การป้องกันตนเอง การคุกคามตัวอื่น และการทะเลาะกันระหว่างแมวตัวผู้ ขอยกตัวอย่างสาเหตุที่พบบ่อย ๆ ครับ

            การหวงพื้นที่และการเปลี่ยนสถานะทางสังคม สถานะทางสังคมของแมวในบ้านเปลี่ยนแปลงได้จากหลายสาเหตุ เช่น ลูกแมวในบ้านเริ่มโตขึ้นและมีอายุได้ 1 ถึง 2 ปี มีแมวโตบางตัวออกไปจากบ้านหรือมีแมวใหม่เข้ามาในบ้าน เมื่อสภาพแวดล้อมภายในบ้านหรือสถานภาพของแมวเปลี่ยนไปการจัดสรรพื้นที่ภายในบ้านระหว่างแมวจะเริ่มขึ้นซึ่งจะนำไปสู่การทะเลาะวิวาทกันเอง

            การวิวาทกันระหว่างแมวต่างจากในสุนัข คือ แมวจะเลือกใช้การคุกคามด้วยสายตาและท่าทางก่อน เช่น อาจจ้องหน้าแมวอีกตัวเดินไปปิดขวางทางเดิน หรือเดินเข้าไปหาช้า ๆ เพื่อขับไล่แมวอื่นออกจากบริเวณที่ตัวเองต้องการ หากแมวที่ถูกคุกคามยอมแพ้มักจะหมอบ หูลู่ลง และเดินหนีไปทางอื่นในที่สุด การวิ่งไล่กวด การขู่ คำราม ร้องเสียงดังยาว ๆ หรือกัดเป็นทางเลือกสุดท้าย กรณีที่ใช้วิธีการกดดันแล้วไม่ได้ผล

            แมวที่ตกเป็นเหยื่อมักจะจำกัดพื้นที่ในการเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงการประทะกับแมวตัวที่ก้าวร้าว ดังนั้นหากปัญหาความก้าวร้าวรุนแรงจำเป็นต้องแยกกันเลี้ยงครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะรักษาไม่หายในเร็ววัน ส่วนในกรณีที่ความก้าวร้าวเกิดเฉพาะช่วงที่แมวตัวอื่นพยายามจะเข้าไปหาชามอาหาร ชามน้ำ กระบะทราย หรือที่นอนพัก เราสามารถแก้ไขได้โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้อย่างเพียงพอและให้อยู่ในบริเวณที่เข้าถึงง่าย อย่าลืมว่าแมวจะมีการจัดสรรพื้นที่ในบ้านแบ่งกัน ซึ่งใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ควรสังเกตเพื่อหาที่วางสิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสม

            ความระบายความเครียด กลิ่น เสียง การมองเห็นแมวตัวอื่นหรือสัตว์อื่น อาจทำให้แมวบางตัวรู้สึกหงุดหงิดแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เช่น เมื่อแมวในบ้านอาจถูกยั่วยุจากแมวที่อยู่นอกหน้าต่างทำให้ไม่สบอารมณ์จนส่งเสียงขู่และคำราม จังหวะนั้นเองเจ้าของหรือแมวตัวอื่นในบ้านเดินเข้ามาในห้องพอดีก็จะตกเป็นเหยื่อให้แมวได้ระบายอารมณ์ในทันที ส่วนมากแมวที่ตกเป็นเหยื่อมักไม่พอใจและต่อสู้กลับ ทำให้ปัญหาลุกลาม และสัมพันธภาพระหว่างแมวในบ้านแย่ลง ถึงขนาดที่ว่าถ้าแค่เห็นหน้ากันก็จะเริ่มขู่ หรือหาที่ซ่อนตัวทันที

            ความก้าวร้าวจากความกลัว เป็นการตอบโต้ที่พบได้บ่อยในแมวที่ตกเป็นเหยื่อ เจ้าของต้องฝึกสังเกตลักษณะท่าทางของแมวตามที่แนะนำไปข้างต้น เมื่อแมวที่เป็นผู้คุกคามพบว่าแมวที่เป็นเหยื่อตอบโต้มักจะยิ่งแสดงความก้าวร้าวมากขึ้นและปัญหาจะยิ่งรุนแรงขึ้นตามลำดับ

            แมวขี้โมโห หากเราสังเกตและวิเคราะห์แล้วไม่พบเหตุผลที่แมวแสดงความก้าวร้าวเลย บางครั้งอาจเป็นได้ว่าแมวตัวนั้นมีนิสัยก้าวร้าวเป็นปกติ ซึ่งมักมีสาเหตุโน้มนำมาจากปัญหาเรื่องสุขภาพ สภาพแวดล้อมภายในบ้านและปฏิสัมพันธ์ระหว่างแมวกับเจ้าของ หากแก้ปัญหาให้ตรงจุดได้ความก้าวร้าวของแมวจะลดลง

แนวทางแก้ปัญหา

            สร้างห้องสงบสติอารมณ์ภายในบ้าน
   
               เมื่อแมวในบ้านทะเลาะกันคุณจำเป็นต้องแยกแมวออกจากกันก่อนครับ อาจใช้ไม้กวาดต้อนใช้ถุงมือหรือผ้าขนหนูหนาๆ ตะครุบ หรือเอาตะกร้าผ้าครอบแมวไว้ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยไม่ให้เจ้าของโดนกัด จากนั้นแยกแมวแต่ละตัวเข้าห้องสงบสติซึ่งควรจะเป็นห้องที่มืดๆ ใส่อาหาร น้ำ กระบะทรายไว้ให้พร้อม แมวอาจต้องใช้เวลาในห้องเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ เพื่อให้ใจเย็นลง เจ้าของจะเข้าไปในห้องเพื่อเปิดไฟแล้วให้น้ำให้อาหาร เท่านั้น เมื่อไรที่เจ้าของเข้าไปในห้องแล้วแมวเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางที่สงบและดูผ่อนคลายค่อยปล่อยแมวออกจากห้อง สิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยแมวออกมาเร็วเกินไปเพราะหากทะเลาะกันใหม่ปัญหาจะรุนแรงกว่าเดิม และอย่าให้แมวทั้งสองเจอหน้ากันในทันทีออกจากห้องพยามวางชามน้ำ ชามอาหาร กระบะทราย กระจายไว้ในบ้านในบริเวณที่แมวเดินเข้าเดินออกได้หลายทางเพื่อให้มีทางหนีที่ไล่ โดยดูให้อยู่ในพื้นที่ของแมวแต่ละตัวเพื่อลดโอกาสการเผชิญหน้ากัน แมวตัวที่ก้าวร้าวต้องใส่กระดิ่งที่ปลอกคอ เพื่อเป็นการเตือนภัยให้แมวที่เป็นเหยื่อรู้ล่วงหน้าก่อนจะถูกบุกรุกถึงตัว

              การปรับพฤติกรรม

               หลักการคือการสร้างความรู้สึกดีเวลาที่แมวคู่กรณีอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อความปลอดภัยควรใส่สายจูงแมวทั้งคู่ก่อนนำแมวทั้งสองตัวมาเจอหน้ากันโดยให้อยู่ไกลกันพอที่แมวจะไม่รู้สึกเครียดให้นำอาหารหรือขนมที่มีความน่ากินสูงมาให้แมวเพื่อเป็นการสร้างทัศนคติด้านบวกในการเจอกัน หากแมวยังไม่ยอมกินอาหารและแสดงอาหารเครียดอยู่ให้ถอยห่างออกจากกันมากขึ้น ซึ่งหากยังเครียดเหมือนเดิมก็ให้เลิกการฝึกและเริ่มฝึกในมื้ออาหารถัดไป แต่หากแมวทั้งคู่ยอมกินอาหาร ให้ปล่อยให้แมวกินจนเสร็จแล้วค่อยแยกย้ายออกจากกันครั้งต่อไปที่ฝึกยังคงใช้ระยะห่างเท่าเดิม หากแมวกินเป็นปกติ การฝึกครั้งหน้าให้เลื่อนระยะห่างระหว่างแมวให้ใกล้มากขึ้นครั้งละ 6 ถึง 8 นิ้ว หากแมวยังคงกินอาหารปกติให้เจ้าของปล่อยให้แมวได้มีโอกาสเลียแต่งตัวได้บ้างก่อนที่จะจับแยกกัน ทุก 2 ครั้ง ที่แมวกินอาหารโดยไม่มีอาการเครียดเราจะขยับชามให้ใกล้ขึ้นอีก สิ่งสำคัญคือเจ้าของห้ามใจร้อน เพราะหากขยับชามเข้าหากันเร็วไปแล้วแมวแสดงอาการก้าวร้าวใส่กัน เท่ากับการบำบัดถอยหลัง และโอกาสสำเร็จจะลดน้อยลง นอกจากช่วงที่ฝึกภายใต้การดูแลของเจ้าของแล้ว ในเวลาอื่น ๆ ควรแยกแมวทั้งสองออกจากกัน แต่อาจมีการสลับกระบะทรายกันหรือใช้วิธีเอาผ้าถู เพื่อเก็บกลิ่นมาผสมกันให้แมวรู้สึกคุ้นเคย ตามที่ผมเคยแนะนำไปในเล่มก่อนครับ

            แมวบางตัวอาจไม่ยอมกินขนมหรืออาหารที่ให้เลยหากเจอแมวคู่อริ ในรายนี้อาจฝึกแบบไม่ให้เห็นหน้ากันก่อน เริ่มจากให้กินอาหารโดยอยู่กันคนละฝั่งของประตูที่ปิดไว้ใน 2 ถึง 3 วันแรก ก่อนจะลองเปิดประตูอีกครั้ง หรือในบางครั้งอาจใช้การฝึกแบบประยุกต์โดยให้แมวตัวที่ก้าวร้าวอยู่ในกรงและแมวอีกตัวอยู่นอกกรงในขณะที่ให้อาหาร หากเป็นไปได้ด้วยดีให้สลับตำแหน่งกันแต่คราวนี้ต้องระวังมากขึ้น อย่าให้แมวตัวที่ก้าวร้าวขู่แมวในกรง หากแมวรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ยอมกินอาหารอาจต้องพิจารณาให้แมวอยู่ในกรงด้วยกันทั้งคู่ในขณะฝึก

            สำหรับแมวที่มีความก้าวร้าวไม่มากอาจใช้วิธีการปรับความสัมพันธ์ผ่านการเล่นได้ ให้เจ้าของแง้มประตูไว้โดยแมวทั้งสองอยู่คนละฝั่งของประตูแล้วให้แมวทั้งคู่เล่นด้วยกันผ่านเบ็ดตกแมว

            การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างแมวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องมีการตรวจสาเหตุอย่างละเอียด และบางครั้งต้องใช้ยาประกอบการรักษา กรณีปัญหารุนแรงระยะเวลาในการบำบัดอาจนาน 6 เดือน ถึงเกือบ 2 ปี ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าเพิ่งถอดใจนะครับ ลองปรึกษากับสัตวแพทย์ใกล้บ้าน หรือเข้ามาปรึกษาผมได้ทาง www.facebook.com/petmanner ยินดีให้คำปรึกษาครับ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
Cat Magazine
เรื่อง : น.สพ.กมล ภาคย์ประเสริฐ
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/677228862738543422/

Monday, October 23, 2017

7 วิธี ฝึกเหมียวขี้เกียจ ให้กลายเป็นแมวขยัน


        ขณะที่คุณกำลังวุ่นวายกับกิจกรรมมากมายในชีวิตประจำวัน แต่เจ้าเหมียวที่บ้านกลับนอนอุตุอยู่ที่มุมโปรดของตัวเอง แหม...ช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับคนอื่นบ้างเลยนะ แถมบางตัวยังเฉยชาแม้จะมีหนูตัวเบอเริ่มวิ่งตัดหน้าไปอีกด้วยแสนจะเจ็บใจและไม่น่าให้อภัยเลยสักนิด แถมยังไม่คุ้มค่ากับความรักที่อุตส่าห์ทุ่มเทไปให้ แบบนี้ต้องเรียกมาอบรมสั่งสอนกันเสียหน่อยแล้ว

          1. ปลุกแมวจากฝันหวาน

          เวลาที่เห็นแมวนอนหลับตาพริ้มอยู่บนที่นอน เป็นภาพที่น่ารักดีอยู่ แต่ทว่าคงไม่ดีเท่าไหร่หากปล่อยให้แมวทำแบบนี้ไปตลอดทั้งวันและทุกวัน และน่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับแมวมากกว่า ถ้าหากแมวจะลุกขึ้นมาทำอย่างอื่นบ้าง โดยอาจจะเริ่มจากปลุกแมวขึ้นมาเล่นกับคุณ แล้วค่อย ๆ ฝึกให้ทำกิจกรรมอย่างอื่นเพิ่มเติมไปทีละอย่าง

          2. ปิดประตูห้องสนิท

          หากคุณไม่อยากกลับมาเจอกับกองเสื้อผ้าที่แมวรื้อจนกระจาย หรือเห็นว่าแมวกำลังนอนอย่างสบายอารมณ์ในตะกร้าผ้าของคุณดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ก็ควรล็อกประตูห้อง กับกลอนหน้าต่างให้สนิท และในเมื่อไม่มีที่ให้นอน คราวนี้แมวตัวดีของคุณจะเริ่มทำงานเสียที อย่างน้อย ๆ แค่แมวเดินไปเดินมาก็เป็นสัญญาณที่ดีแล้ว

          3. ดูแลเล็บแมวให้แหลมคมอยู่เสมอ

          เล็บ เป็นอาวุธเดียวที่แมวมีติดตัว ดังนั้นคุณควรหมั่นดูแลและตัดเล็บให้กับแมวของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะเล็บที่ยาวเกินไป นอกจากจะทำให้แมวเดินเหินไม่สะดวกแล้ว ยังเป็นอุปสรรคในเวลาที่แมวออกล่าเหยื่อด้วย เพราะหากแมวตะปบเหยื่อแล้วเล็บไม่คมพอ ก็คงไม่ต่างอะไรกับใช้มีดทื่อ ๆ หั่นเนื้อ ที่นอกจากจะทำให้เหยื่อรอดพ้นไปได้แล้ว แมวก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อซะเอง

          4. ทำความสะอาดด้วยการอาบน้ำ

          อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า แมวเกลียดน้ำขนาดไหน และมักจะดิ้นทุกครั้งที่คุณจับไปอาบน้ำ แต่อย่างไรเสีย คุณไม่ควรตามใจแมวของตัวเองจนเกินไปนัก ทั้งนี้ควรเริ่มทำความสะอาดจากลำตัวไล่ไปจนถึงปลายเท้า เล็บ อุ้งเท้า แล้วค่อยตามด้วยก้นกับหาง เป็นส่วนสุดท้าย

          5. ให้แมวเปิดหูเปิดตา

          ในขณะที่คุณอยู่ในบ้านก็ควรจะเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ เพราะความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายนอก จะช่วยกระตุ้นความสนใจให้กับแมวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเวลาที่มีสัตว์เล็ก สัตว์น้อย วิ่งไปวิ่งมารอบ ๆ ตัว

          6. ให้อาหารตรงเวลา

          การให้อาหารไม่ตรงเวลาเป็นการทำร้ายแมวทางอ้อมวิธีหนึ่ง ฉะนั้นหลังจากนี้เวลาที่แมวมาขอขนมหรืออาหารจากคุณ ไม่ควรจะยอมใจอ่อนให้อาหารกับแมว เพราะนอกจากจะทำให้นาฬิกาในตัวแมวแปรปรวนแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีอีกด้วย

           7. ให้เล่นกับกล่องเปล่า

          นิสัยอยากรู้อยากเห็นของแมว เป็นสิ่งที่รู้กันดีอยู่แล้ว ดังนั้นคุณอาจจะดึงจุดนี้มาใช้ก็ได้ อย่างเช่น ก่อนออกจากบ้านให้นำกล่องเปล่ามาวางเอาไว้ในที่ที่คุณคิดว่าแมวจะมองเห็น และเป็นจุดที่แมวเดินผ่านประจำ โดยหลังจากที่คุณปิดประตู แมวก็จะเริ่มออกสำรวจตรวจตรากล่องต้องสงสัยทันที เป็นวิธีง่าย ๆ ที่คุณแทบไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด

        สาวกแมวหลายคนคงต้องทำใจหากแมวของตัวเองจะเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปบ้างแต่ทั้งนี้อย่าลืมว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการเลี้ยงแมว ไม่ได้เลี้ยงเอาไว้เพื่อเป็นของประดับบ้าน ดังนั้น หากปล่อยให้เจ้าเหมียวนอนอืดอยู่เฉย ๆ สักวันมันคงกลายเป็นโรคอ้วนแน่นอน ซึ่งสิ่งที่จะตามมา คือ การมีโรคภัยไข้เจ็บสารพัดชนิดมารุมเร้า ดังนั้นบรรดาเจ้าของทั้งหลายควรให้พวกมันได้ขยับแข้งขยับขา และช่วยมันฝึกเรื่องการเรียนรู้บ้าง เป็นต้น



15 ความลับของเหมียว ๆ ที่ทาสแมวอาจคาดไม่ถึง !


        เปิด 15 เรื่องลับสุดยอดของเจ้าเหมียว ที่ทาสแมวอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่สัตว์เลี้ยงน่ารักแสนซนชนิดนี้จะมีความลับอะไรซ่อนไว้ ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันเลย

         นอกจากความน่ารัก แสนซน ขี้เล่นแล้ว ในตัวของแมวยังมีความลับซ่อนอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานหลายพันปี พวกมันจึงมีเรื่องราวหลากหลายให้ค้นหาและยังคงเป็นความลับอยู่ ซึ่งบางเรื่องคนรักแมวอาจจะยังไม่รู้และคาดไม่ถึงเลยก็ได้ กระปุกดอทคอมจึงขออาสารวบรวมความลับเหล่านั้นมาเปิดโปงให้ทุกคนได้ทราบกัน
1. เท้าหน้าและเท้าหลังมีนิ้วไม่เท่ากัน

           ถ้าใครเคยจับอุ้งเท้าน้อย ๆ ฟู ๆ ของเจ้าเหมียวมาสังเกตดู จะรู้เลยว่ามีจำนวนนิ้วเท้ามาเท่ากัน โดยเท้าหน้าของแมวจะมี 5 นิ้ว ส่วนเท้าหลังจะมีนิ้วเพียงแค่ 4 นิ้วเท่านั้น

2. เป็นที่เคารพบูชาของชาวอียิปต์โบราณ 

           ในอดีตกาล ชาวอียิปต์จะบูชาและเคารพแมว ถึงขนาดนำศพไปห่อหุ้มด้วยผ้า ทำเป็นมัมมี่เมื่อมีแมวตาย เพราะพวกเขาเชื่อว่าอีกครึ่งหนึ่งในตัวแมวเป็นเทพเจ้า เทพีมัฟเดต (Mafdet) เทพีแห่งความยุติธรรม มีรูปร่างเป็นแมว ที่ชาวอียิปต์เคารพบูชา

3. ทรายแมวในอดีตคือทรายก่อสร้าง

           เป็นที่รู้กันดีว่าที่จริงแล้วทรายแมวไม่ใช่ทรายที่เรานำมาสร้างบ้าน แต่ในอดีตได้มีการใช้ทรายสร้างบ้านมาใช้เป็นทรายแมวจริง ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1948 มีผู้ค้นพบว่ามีสารที่ดูดซับกลิ่นได้ดีกว่าทราย จากนั้นจึงมีเริ่มใช้และพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ ดังทรายแมวที่เห็นในปัจจุบัน

4. ไม่มีต่อมรับรสหวาน

           แมวไม่มีต่อมรับรสหวานที่ลิ้น ดังนั้นเมื่อแมวกินขนมหรืออาหารที่มีรสชาติหวาน พวกมันจึงไม่สามารถรับรู้รสชาติได้ ที่เห็นพวกมันเลียขนมเวลายื่นให้ ก็เป็นเพราะกลิ่นของขนมมากกว่านั่นเอง

5. ประตูถูกคิดค้นโดยเซอร์ ไอแซก นิวตัน

           ประตูแมวเล็ก ๆ ตามประตูบ้านที่แมวใช้เข้า-ออก ถูกประดิษฐ์และใช้ครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกนั่นก็คือ เซอร์ ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) นั่นเอง

6. ทาสแมวคนดัง

           อับราฮัม ลินคอร์น (Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาก็ชื่นชอบแมวจนถึงขนาดเลี้ยงแมว 4 ตัวไว้ในทำเนียบขาว โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด ลี (Robert E. Lee) นายพลคนสำคัญในสงครามกลางเมืองอเมริกา ก็รักและชื่นชอบแมวเช่นกัน

7. รับเสียงได้ในระดับอัลตราโซนิกส์
         
           หูของแมวสามารถได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงในระดับอัลตราโซนิกส์ ซึ่งมีความถี่เสียงสูงเกินกว่าที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ และสัตว์ฟันแทะ อย่างเช่น หนู ก็ใช้เสียงที่มีระดับความถี่เดียวกันนี้ในการสื่อสาร นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเจ้าเหมียวถึงรู้ที่อยู่และจับหนูได้อย่างง่ายดาย

8. มีความจำในช่วง 16 ชั่วโมงเท่านั้น

           แมวจะสามารถจดจำเรื่องราวหลังจากที่เกิดขึ้นในช่วง 16 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเกิน 16 ชั่วโมงพวกมันก็จะลืมและจำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีช่วงความจำที่ดีกว่าสุนัข  เพราะสุนัขมีช่วงความจำแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง

9. รับสัมผัสผ่านทางหนวด

           หนวดของแมวไม่ใช่แค่เส้นขนธรรมดา ๆ แต่เป็นสิ่งที่แมวใช้รับสัมผัสของสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยแมวจะใช้หนวดรับสัมผัสของสิ่งรอบ ๆ ตัวและส่งข้อมูลไปยังระบบประสาทนั่นเอง

10. วิ่งด้วยความเร็ว 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

           ยูเซน โบลต์ (Usain Bolt) นักวิ่งสถิติโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 43 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะที่แมวสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฉะนั้นถ้าจับแมวมาวิ่งแข่งกับคนธรรมดา รับรองว่าแมวชนะขาดลอยแน่ ๆ

11. ทอรีน สารที่แมวขาดไม่ได้

           ทอรีน (Taurine) เป็นกรดอะมิโนไม่จำเป็น ที่ร่างกายของสัตว์และคนสามารถสังเคราะห์ใช้เองได้ แต่ร่างกายของแมวสังเคราะห์เองไม่ได้ ดังนั้นแมวจึงต้องรับสารนี้ทางอาหารแทน โดยสารชนิดนี้มีส่วนช่วยในการมองเห็นของแมว ซึ่งอาจทำแมวสูญเสียการมองเห็นได้ถ้าร่างกายขาดสารนี้

12. ไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกที่แพ้ขนแมว

           อาการแพ้แมวหรือแพ้ขนแมวที่บางคนเป็นกัน ที่จริงแล้วไม่ใช่ขนแมวที่เป็นสาเหตุ แต่เป็นเพราะฮอร์โมนในน้ำลายมีติดมากับขน ตอนแมวจะเลียขนเพื่อทำความสะอาดตัวเองต่างหาก เมื่อคนที่แพ้ฮอร์โมนชนิดนี้สัมผัสตัวหรือขนแมวจึงเกิดอาการแพ้นั่นเอง

13. แมวไม่มีกระดูกไหปลาร้า

           แมวเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกไหปลาร้า และนั่นก็เป็นเหตุให้พวกมันสามารถลอดผ่านช่องเล็กช่องน้อยหรือม้วนตัวเข้าไป กล่องแคบ ๆ ได้ ตราบใดที่หัวของพวกมันผ่านได้ ตัวของพวกมันก็จะผ่านได้เช่นกัน

14. ตาของลูกแมวเป็นสีเดียวหมด

           สีตาของแมวจะแตกต่างกันตามแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งจะมีทั้งสีน้ำตาล ส้ม เขียว ฟ้า เหลือง แต่ก่อนที่ตาของพวกมันจะมีสีต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา ตาของแมวทุกตัวล้วนเคยเป็นสีเดียวกันมาก่อน โดยใน 3 เดือนแรกตาของลูกแมวทุกตัวจะมีสีฟ้าหรือโทนสีฟ้า แล้วจะเปลี่ยนไปเมื่อแมวโตขึ้น           

15. ขับเหงื่อผ่านทางอุ้งเท้าเท่านั้น

           แมวจะระบายความร้อนออกมาในรูปเหงื่อผ่านทางอุ้งเท้าเท่านั้น ไม่เหมือนกับสุนัขที่ระบายออกมาทางปากและจมูก อีกวิธีหนึ่งที่แมวใช้ระบายความร้อนออกจากร่างกายก็คือ การเลียขน ถ้าวันไหนที่อากาศร้อน ๆ แล้วพบว่าเจ้าเหมียวที่บ้านเลียขนบ่อย แสดงว่าอุณหภูมิในร่างกายของพวกมันสูง ควรพาพวกมันไปที่เย็น 

           แมวเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีความลับมากมายจริง ๆ และเชื่อว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความลับของแมวเท่านั้น หากมั่นใจว่ารู้มากกว่านี้ก็มาแชร์กันได้นะคะ

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก notey, ancientegyptonline, vetsallnatural, iheartcats และ petful

Thursday, October 19, 2017

เมื่อน้องเหมียว เบื่ออาหาร...


อยากจะเป็นแมวเหมียว ที่ร้องเหมียว ๆ ...

          อุ๊ย... ก็พูดถึงแมวแล้ว ก็ต้องนึกถึงความน่ารักขี้อ้อนของมันเลยใช่ไหมคะ เพราะเจ้าแมวน้อยนี่ถือว่าเป็นสัตว์ที่ชอบอ้อนที่สุดเลยก็ว่าได้ ใครที่ชอบเลี้ยงแมวก็คงรู้ดีเป็นพิเศษ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เจ้าแมวเหมียวหากไม่ขี้อ้อนเหมือนเดิม อาการแบบนี้เป็นตัวส่งสัญญาณบอกอาการผิดปกติของเจ้าเหมียวแล้วล่ะค่ะ ถ้าอยากให้น้องแมวร้องเหมียว ๆ เหมือนเดิม รีบไปสังเกตดูกันนะคะว่า แมวของคุณมีลักษณะแบบนี้หรือเปล่า

อาการของน้องแมวเมื่อเริ่มเบื่ออาหาร

          แมวจะมีอาการอาการหงอยเหงา เซื่องซึม นอนนิ่ง ๆ กิจกรรมต่าง ๆ ลดลง  มีการแยกตัวออกจากสัตว์เลี้ยงตัวอื่น สำหรับในกรณีที่เลี้ยงรวมกันมากกว่าหนึ่งตัวขึ้นไป อย่างนี้เป็นต้น
  
สาเหตุของการเบื่ออาหารของน้องแมว

          แมวแต่ละตัวจะแสดงอาการเบื่ออาหาร ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของแต่ละตัว มีหลายสาเหตุดังนี้

           ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เริ่มตั้งแต่ปาก  หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับและตับอ่อน ระบบปัสสาวะ (ไต)  ในระบบไหลเวียนโลหิต (หัวใจเลือด)  หรือในระบบหายใจ (ปอด  หลอดลม)  หรือที่ผิวหนัง  สมอง  และอวัยวะอื่นๆ ที่มีความผิดปกติ

          ความเจ็บปวด เช่น ความเจ็บปวดจากบาดแผลต่าง ๆ ก็ล้วนสามารถทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารได้เช่นกัน

          การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมภายนอก การย้ายที่อยู่ใหม่ การมีสัตว์เลี้ยงแปลกหน้าใหม่มาในบ้าน  หรือการมีบุคคลแปลกหน้าย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ในบ้าน  รวมถึงการที่สมาชิกเก่าในบ้านหายไป ก็เป็นสาเหตุของการเบื่ออาหารได้

แล้วเราจะทำอย่างไร เมื่อน้องแมวเกิดอาการเบื่ออาหาร

          สังเกตอาการของแมว เพื่อจะได้บอกอาการให้หมอทราบได้ถูกต้อง

          สังเกตดูว่าที่บ้าน ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือเปล่า เช่น  เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่  สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ ผู้คนแปลกหน้าย้ายเข้ามาใหม่บ้างหรือไม่

          ใช้เทคนิคพิเศษช่วย เป็นอีกทางเลือกเหมือนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนที่จะพาไปพบแพทย์ เช่น ให้แมวน้ำดื่มผสมเกลือแร่หรือ น้ำตาล ก็ช่วยให้แมวยินยอมกินอาหารได้

          กระตุ้นความอยากอาหาร หมั่นดูแลเรื่องอาหารของเขา เช่น อุ่นอาหารเพื่อให้เกิดกลิ่นหอม หรืออาจจะผสมอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ ๆ เข้ากับอาหารสำเร็จรูปเพื่อให้เกิดความพิเศษมากขึ้น  หรืออาจมีการป้อนอาหารด้วยมือ แทนการใช้ชามอาหาร

          คอยเฝ้าระวังดูว่าแมวมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เพื่อหาทางแก้ไขให้ตรงจุด

          ทั้งนี้แล้ว หากเจ้าเหมียวมีอาการเบื่ออาหารเป็นเวลานานเกิน 1 วัน ก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างกับลูกแมวที่มีอายุไม่ถึง 6 เดือน ยิ่งต้องให้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ และต้องหากมีอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรนำไปพบสัตวแพทย์จะดีที่สุดนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
vet4polyclinic.com, my_smiling_cat.tripod.com
เครดิตภาพ   https://www.pinterest.com/pin/14355292553192280/

Tuesday, October 17, 2017

5 ทริคฝึกเจ้าเหมียวให้เลี้ยงง่าย เอาใจทาสแมว



         แมวเหมียวตัวน้อย ตาแบ๊ว ๆ ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ว่าง่ายสักเท่าไหร่ เพราะแมวก็มีความฉลาดและสามารถฝึกให้ทำตามคำสั่งหรือสิ่งที่เจ้าของต้องการได้ไม่แพ้สัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ เลย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ใครหลายคนไม่สามารถฝึกให้แมวทำตามคำสั่งได้ ก็อาจสืบเนื่องมาจากการฝึกผิดวิธีด้วยความคิดแบบผิด ๆ นั่นเอง แต่ถ้าคุณเป็นทาสแมวที่อยากจะเลี้ยงเจ้าเหมียวให้ได้ดั่งใจ ก็ลองมาทำตามเทคนิคฝึกแมวง่าย ๆ เหล่านี้ดู เผื่อจะช่วยให้เจ้าเหมียวว่าง่ายขึ้นได้บ้างจ้า

1. เรียกเหมียว ๆ เดี๋ยวก็มา

          คุณสามารถฝึกให้แมวตอบสนองกับเสียงเรียกและเดินมาตามทางที่คุณต้องการได้ โดยทางสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งอเมริกา (ASPCA) แนะนำว่า ให้เริ่มจากใช้เสียงเรียกแมวก่อนจะให้อาหาร อย่างเช่น ก่อนเปิดปากถุงหรือกระป๋องอาหาร ซึ่งคุณจะใช้การเรียกชื่อแมว ส่งเสียงร้องเหมียว ๆ หรือกระดกลิ้นรัว ๆ เพื่อส่งสัญญาณเสียงไปหาแมวก็ได้ จากนั้นก็ทำตามวิธีดังกล่าวไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน ครั้งละประมาณ 5 นาที เพื่อให้แมวเรียนรู้และเชื่อมต่อระหว่างเสียงของคุณกับอาหาร เมื่อแมวตอบรับกับเสียงเรียกของคุณแล้วก็อย่าลืมให้รางวัล และค่อย ๆ เพิ่มระยะห่างระหว่างแมวกับเสียงเรียกด้วย

2. ขับถ่ายให้เป็นที่ดีกว่า


          นอกจากนี้ยังฝึกให้แมวขับถ่ายในห้องน้ำได้ง่าย ๆ เริ่มจากการนำกระบะทรายมาวางในห้องน้ำ โดยค่อย ๆ ปรับความสูงของกระบะทรายขึ้นทีละนิดจนกระทั่งอยู่ในระดับเดียวกันกับที่นั่งบนชักโครก เมื่อแมวเริ่มคุ้นเคยกับการใช้กระบะทรายแล้ว ยกกระบะทรายไปวางเอาไว้บนที่นั่งของชักโครก แล้วทำตามขั้นตอนดังกล่าวไปจนกว่าแมวจะคุ้นเคย ในระหว่างนี้คุณควรจะค่อย ๆ ลดขนาดของกระบะทรายไปทีละนิด เพื่อให้แมวสามารถนั่งขับถ่ายบนชักโครกได้โดยไม่ต้องใช้กระบะทรายอีก

3. มามะ..มาจับมือกันหน่อย

          ส่วนการสอนแมวให้จับมือนั้นก็ง่ายกว่าที่คิด แค่เพียงคุณลดตัวให้อยู่ในระดับเดียวกับแมว จากนั้นแตะมือเบา ๆ ลงบนอุ้งเท้าของแมว และกดคลิกเกอร์ 1 ครั้ง (อุปกรณ์ฝึกแมว) ขณะที่เอามือออกจากอุ้งเท้าแมว แล้วทำตามขั้นตอนดังกล่าวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแมวสามารถยกอุ้งเท้าขึ้นมาเองได้โดยที่คุณไม่ต้องแตะมือ โดยส่วนใหญ่แล้วการฝึกแมวให้จับมือได้ใช้เวลาสั้น ๆ เพียง 2-3 วันเท่านั้นเอง
 
4. อยากได้ก็ต้องขอ


          การสอนแมวให้รู้จักขอร้องก็ใช้ขั้นตอนคล้าย ๆ กับการสอนแมวจับมือ แต่มีข้อแตกต่างกันเล็กน้อยโดยคราวนี้ให้คุณถืออาหาร ขนม หรือของเล่นไว้เหนือหัวแมว แล้วรอจนกระทั่งแมวยืนด้วย 2 ขาหลังของตัวเองและใช้อุ้งเท้าด้านหน้าปัดอาหาร ในระหว่างนี้ก็กดคลิกเกอร์ 1 ครั้งก่อนจะยื่นอาหารให้แมว จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนดังกล่าวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแมวของคุณสามารถทำได้เอง โดยไม่ต้องใช้สิ่งของหรืออาหารใด ๆ มาหลอกล่อ

5. สายจูงมีไว้ มาหัดใช้กันเถอะ


          หากคุณใช้สายจูงกับแมวควรคล้องสายจูงไว้กับหลังแมวไม่ใช่ที่คอแมว และเริ่มฝึกโดยเริ่มจากนำวางสายจูงในที่ที่แมวอยู่ เพื่อให้แมวทำความคุ้นเคยกับสายจูงเสียก่อนประมาณ 1-2 วัน จากนั้นจึงค่อยนำสายจูงสวมให้แมว แล้วปล่อยให้แมวเดินเล่นกับสายจูงไปก่อน ส่วนคุณก็คอยเดินอยู่ใกล้ ๆ กับแมว เมื่อคุณเห็นว่าแมวคุ้นเคยและอยู่ในภาวะผ่อนคลาย สามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระแม้จะสวมสายจูงแล้ว จึงค่อยนำสายจูงมาถือไว้ในมือ และพาแมวออกไปเดินนอกบ้าน



ข้อควรรู้

ไม่ควรนำการลงโทษมาใช้กับการสอนแมว

          แมวไม่สามารถเรียนรู้หรือจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้จากการลงโทษ อีกทั้งการฝึกแมวโดยใช้การลงโทษ ยังเป็นวิธีการที่เพิ่มความเครียดให้กับแมว นำแมวไปสู่พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ พร้อมทั้งทำให้แมวของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพด้วย และสำหรับเจ้าของที่ต้องการจะฝึกแมวให้ทำตามคำสั่ง ก็ควรจะอดทนรอให้เวลาแมวเรียนรู้ ปรับตัว และคอยสนับสนุนแมวอย่างถูกวิธี

คลิกเกอร์ หรืออุปกรณ์ช่วยฝึกแมว

          การฝึกด้วยปากเปล่าอาจจะใช้เวลานาน ดังนั้นคงจะดีกว่าหากคุณมีอุปกรณ์ช่วยฝึกแมว อย่างเช่น คลิกเกอร์ หรืออาศัยเสียงกดเปิด-ปิดปากกาก็ได้ เพราะเสียงจากอุปกรณ์ช่วยฝึกดังกล่าวจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเสียงเป็นสัญลักษณ์ให้แมวทำตามคำสั่ง และทำให้การฝึกแมวง่ายขึ้น แต่ถ้าหากไม่มีสัญญาณเสียงจากคลิกเกอร์หรืออุปกรณ์ช่วยฝึก แมวก็อาจจะสับสนได้ว่าทำไมเจ้าของให้รางวัลแก่พวกมัน

          การฝึกแมวให้ทำตามคำสั่ง หรือมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกและวิธีฝึกแมวที่ถูกต้องเสียก่อน ก่อนนำมาใช้ในการฝึกแมวของตัวเอง เพื่อให้แมวสามารถทำตามคำสั่งของคุณได้ พร้อมกับป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ตามมา และมีความสุขทั้ง 2 ฝ่ายด้วยนะคะ



Tuesday, October 10, 2017

5 วิธีสยบเจ้าเหมียวให้สงบก่อนเข้าพบสัตวแพทย์




         ในกรณีที่คุณป่วยหรือบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังสามารถซื้อยามารักษาอาการเองได้ แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงอย่าง แมวเหมียว ไม่ว่ากรณีใด ๆ ต้องนำส่งสัตวแพทย์อย่างเดียวเลย เพราะหากใช้ยาสำหรับคนหรือรักษาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอาจทำให้อาการของพวกมันทรุดลงไปกว่าเดิม อีกทั้งฤทธิ์ยาบางตัวเป็นอันตรายต่อแมวมาก ๆ อย่างเช่น พาราเซตามอน แอสไพริน หรือไอบูโพรเฟน ดังนั้นทางเดียวที่จะรักษาแมวของคุณได้คือนำตัวส่งสัตวแพทย์ แต่ทั้งนี้คุณอาจพบกับอาจการตื่นกลัวของแมว ซึ่งสามารถสยบพวกมันได้โดยวิธีเหล่านี้

1. ทำความคุ้นเคยกับสถานที่

          ถ้าแมวของคุณเกิดการตื่นกลัวและเครียดเมื่อพาไปพบสัตวแพทย์ คุณควรพกขนมหรือของเล่นของพวกมันติดตัวไปด้วย จากนั้นให้พวกมันทำความคุ้นเคย กับสถานที่เสียก่อนด้วยการพาสำรวจรอบ ๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมและกลิ่นภายในสถานที่ ในระหว่างนั้นให้พวกมันกินขนมหรือโยนของให้เล่นไปพลาง ๆ ก่อน ซึ่งวิธีนี้สามารถลดความเครียดได้ดีเชียวล่ะ

2. จับแมวให้อยู่หมัดด้วยตะกร้าแบบเปิด

          เนื่องจากแมวเป็นสัตว์ที่รักอิสระจึงทำให้ไม่ชอบอยู่ในพื้นที่เล็กและแคบ อย่างเช่น ในตะกร้าที่คุณจับแมวตัวเองใส่ลงไป โดยเฉพาะตะกร้าที่มีฝาปิดเพราะทำให้แมวของคุณอึกอัดและขาดอากาศหายใจ ดังนั้นหากคุณอยากให้พวกมันอยู่เป็นที่ควรเลือกตะกร้าแบบที่ไม่มีฝาปิด หรือตะกร้าที่มีฝาปิดแบบแยกต่างหากดีกว่า เพื่อเปิดช่องอากาศ และทำให้พวกมันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

3. พกของประจำไปด้วย

          หากแมวของคุณมีของประจำตัวอยู่ อย่างเช่น เสื้อผ้า เบาะ หรือของที่มันชอบ ควรนำไปด้วยเพราะในสิ่งของเหล่านั้นมีกลิ่นของมันติดอยู่ การวางของเหล่านี้ไว้ใกล้ ๆ ตัวจะช่วยให้พวกมันรู้สึกสบายใจและลดความเครียดลงไปได้เยอะเลยทีเดียว

4. หาเพื่อนให้แมว

          เพราะคงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของแมวได้ดีไปกว่าพวกเดียวกันอีกแล้ว ดังนั้นหากคุณพบว่ามีคนนำแมวมารักษาเหมือนกันควรพาแมวของคุณไปรู้จักกับแมวตัวอื่น ๆ ด้วยจะช่วยให้แมวของคุณสบายใจขึ้น

5. ให้กำลังใจ

          ในระหว่างทางที่อยู่บนรถหรือในโรงพยาบาลควรให้กำลังใจแมวของคุณ โดยการลูกบหัว เกาคาง หรือสัมผัสที่ท้องของแมวเบา ๆ เพื่อให้พวกมันรู้สึกสบายตัว นอกจากนี้อาจให้กำลังใจด้วยขนมหรือของกินอร่อย ๆ ที่พวกมันชอบสักนิด ก่อนเข้ารักษา รับรองว่าคราวนี้พวกมันไม่ดื้อกับคุณและสัตวแพทย์อีกแล้วล่ะทั้งนี้ควรเลือกโรงพยาบาลหรือคลีนิคใกล้บ้าน เพื่อลดเวลาการนั่งรถให้น้อยที่สุด

Tuesday, October 3, 2017

เมื่อเหมียวอาเจียน(ผิดปกติ)...ควรทำอย่างไรดี ?

เมื่อน้องเหมียวอ้วกๆๆ (Cat Magazine)       
โดย สพ.ญ.ปิยกาญ โรหิตาคนี

          อาเจียนเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยในน้องแมว ซึ่งบางครั้ง อาจเป็นเรื่องปกติ เช่น อาเจียนหลังกินหญ้า หรือหลังจากเลียขนตัวเองเข้าไป แต่ในบางครั้ง อาการอาเจียนก็อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติในร่างกายได้เช่นกัน

          อาการอาเจียน เกิดจากความผิดปกติของทางเดินอาหาร ทำให้เกิดการขย้อนเอาสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารกลับออกมาทางปาก อาจเกิดได้จากการกินอาหารเยอะเกินไป กินเร็วเกินไป กินของที่ย่อยยากลงไป กินอาหารหลากหลายประเภทเกินไป หรือกินของเน่าเสียเข้าไป ซึ่งอาการอาจไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ แต่นอกเหนือจากนี้ อาจเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างเช่น โรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร มีพยาธิภายใน โรคไต โรคตับ โรคมะเร็ง หรือโรคเบาหวาน เป็นต้น

          ทั้งนี้ หากแมวมีอาการอาเจียนแค่ครั้งเดียว และยังคงวิ่งเล่นร่าเริงสนุกสนานได้ตามปกติ ก็คงไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะอาการอาเจียนนั้นอาจเกิดจากสาเหตุธรรมดา ๆ ที่กล่าวไป แล้วและหายไปได้เอง

          ถ้าแมวมีอาการอาเจียนและเราพอที่จะทราบถึงสาเหตุ เช่น เกิดหลังจากการเปลี่ยนอาหาร หรือแมวไปกินใบไม้หรือต้นไม้บางอย่างแล้วอาเจียน ก็ให้กำจัดสาเหตุนั้นออกไป

          แต่ถ้าแมวมีอาการอาเจียนหลายครั้ง ซึม เบื่ออาหาร หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรจะรีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและช็อคได้

การตรวจวินิจฉัย

          เริ่มจากการสอบถามประวัติทั่วไป เช่น การกินอาหาร การฉีดวัคซีน การถ่ายพยาธิ ความถี่ของอาการอาเจียน และลักษณะของอาเจียน เป็นต้น ร่วมกับการตรวจร่างกาย คลำช่องท้องว่ามีอาการปวดเกร็งหรือมีก้อนผิดปกติในช่องท้องหรือไม่ ตรวจเลือดและปัสสาวะ ตรวจอุจจาระว่ามีไข่พยาธิหรือมีเลือดปนหรือไม่ นอกเหนือจากนี้ อาจมีการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น เอ็กซเรย์ อัลตร้าซาวนด์หรือส่องกล้อง ในรายที่มีความซับซ้อนของโรคเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการอาเจียนต่อไป

การรักษา

          รักษาให้ตรงตามสาเหตุที่ทำให้อาเจียน สำหรับแมวที่มีอาการอาเจียน แต่ยังร่าเริงดี และไม่มีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย อาจให้เพียงยาแก้อาเจียน หรือให้น้ำเกลือทางใต้ผิวหนัง และสังเกตอาการต่อที่บ้าน แต่ในแมวที่มีอาการอาเจียนร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย เบื่ออาหาร ควรจะต้องอยู่ในความดูแลของคุณหมอก่อนภายใน 24 ชม. โดยงดน้ำงดอาหาร เปลี่ยนเป็นให้ยา ให้น้ำเกลือ ให้สารอาหารและแร่ธาตุทางเส้นเลือดแทน

          ถ้าน้องเหมียวมีอาการดีขึ้นแล้ว สามารถกลับบ้านได้ เจ้าของก็ควรจะให้ยาตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัดและตรงต่อเวลา ค่อย ๆ ลองป้อนน้ำให้น้องเหมียวกินทีละนิด ๆ ถ้าไม่มีอาการอาเจียนอีกก็ลองให้น้องเหมียวกินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม เนือ้สัตว์ไม่ติดมัน หรืออาหารกระป๋องสำเร็จรูป สำหรับแมวป่วย ถ้าไม่มีอาการอาเจียนภายใน 1-2 วัน จึงเริ่มให้กลับมากินอาหารตามปกติ แต่ถ้าอาเจียนอีก จะต้องรีบกลับไปปรึกษาคุณหมอทันที

การป้องกัน

          การป้องกันไม่ให้น้องเหมียวอาเจียน อาจทำได้โดยระวังไม่ให้น้องเหมียวมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งที่อาจเป็นพิษหรือกินสิ่งแปลกปลอม และหมั่นคอยสังกตการกินอาหารและสุขภาพโดยทั่วไป ฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ครบถ้วนและถ่ายพยาธิเป็นประจำทุก ๆ 3 เดือน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Cat Magazine