รู้หรือเปล่าว่าโลกของเราไม่ได้มีแค่แมวบ้านที่เราเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้นนะ แต่ยังมีแมวอีกหลากหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ เพียงแต่คุณอาจยังไม่เคยรู้เพราะส่วนใหญ่แมวเหล่านี้อาศัยอยู่ตามป่าเขาเท่านั้นเอง
แมวเป็นสัตว์ที่มีความเป็นมิตร เข้ากับคนได้ดี ที่เราคุ้นเคยกันส่วนมากก็จะเป็นสายพันธุ์ที่นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงหรือที่เรียกกันว่า “แมวบ้าน” แต่นอกจากแมวบ้านเชื่อง ๆ แล้วยังมีแมวอีกหลายสายพันธุ์ บางชนิดนิยมเลี้ยงกันเฉพาะในพื้นที่ บางชนิดก็ขึ้นชื่อว่าหาดูยากสุด ๆ เพราะอาศัยอยู่ในป่าลึก ตามเทือกเขาสูง และป่าหิมะเท่านั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวมสายพันธุ์แมวหายากมาให้ได้ชมกัน จะได้รู้ว่านอกจากแมวบ้านแล้ว ยังมีแมวสวย ๆ เหล่านี้อยู่บนโลกด้วยนะ
1. แมวทราย (Sand Cat)
แมวที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายซาฮารา ตะวันออกกลางไปจนถึงเตอร์กีสถาน ขนาดลำตัวจากหัวจรดหางยาว 29-36 นิ้ว สูง 10-12 นิ้ว มีน้ำหนักตั้งแต่ 1.8–3.6 กิโลกรัม กินสัตว์เลื้อยคลาน แมลง งู และนกเป็นอาหาร จุดเด่นอยู่ที่หน้าตาแบ๊ว ๆ แต่มีสีและขนลายเหมือนเสือตัวน้อย ๆ
2. แมวลิงซ์แคนาดา (Canadian Lynx)
เป็นแมวป่าขนาดกลาง อาศัยอยู่ตามป่าเขตหนาวแถบอะแลสกาและแคนาดา มีขนหนานุ่มเพื่อช่วยป้องกันความหนาวจากหิมะ โดยขนจะมีสีน้ำตาลอ่อนแซมเทา หางสั้น อุ้งเท้ากับขามีขนาดใหญ่เป็นพิเศษเพราะต้องเดินฝ่าหิมะบ่อย นอกจากนี้ยังสามารถมองได้ไกลถึง 76 เมตรเลย
3. แมวพัลลัส (Pallas Cat)
สายพันธุ์แมวป่าที่มีขนาดใกล้เคียงกับแมวบ้าน อาศัยอยู่แถบทะเลทรายอัลไพน์ ทุ่งหญ้าสเตปป์ และจะพบได้บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,800 เมตร มีขนยาวหนาและสามารถเปลี่ยนเป็นสีเท่าอ่อนได้ในฤดูหนาว แต่เปลี่ยนเป็นสีเทาปนน้ำตาลแดงเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ
4. แมวตีนดำ (Black-footed Cat)
แมวป่าสายพันธุ์ขนาดเล็กที่สุดแถบแอฟริกา โดยจะมีความสูงเพียง 8–10 นิ้วเท่านั้น มีขนสีน้ำตาลอ่อนแซมจุดสีดำทั่วลำตัว อุ้งเท้ามีสีดำพบได้ในป่าแอฟริกาใต้ ทุ่งหญ้าสะวันนาที่มีหญ้าสูง โดยจะออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืนส่วนกลางวันจะแอบซ่อนในโพรงหรือรูบนเนินดิน
5. แมวคาราคัล (Caracal)
พบได้ตามป่าในแอฟริกา เอเชียกลาง เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และตามเทือกเขาของเอธิโอเปีย ขนมีสีน้ำตาลแดง ใบหูใหญ่ ยาว และมีพู่ขนสีดำปลายหู ตัวเมียจะมีขนสีอ่อนกว่าตัวผู้ นอกจากนี้ยังเป็นแมวที่มีอายุยืนถึง 20 ปี มีพฤติกรรมล่ากระต่าย หนู นกและลิงขนาดเล็กเป็นอาหารในตอนกลางคืน
6. เสือลายเมฆ (Clouded Leopard)
ถึงแม้จะเรียกกันว่าเสือแต่ที่จริงแล้วนั้นเสือลายเมฆมีขนาดใหญ่กว่าแมวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีนิสัยเชื่องกว่าเสือและแมวป่าทั่วไป อาศัยอยู่ตามป่าแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศเนปาล เกาะสุมาตรา ตะวันตกของไทย พม่า ลาว ส่วนมากอาศัยอยู่บนต้นไม้ มักออกหากินในเวลากลางคืน
7. แมวแพมพาส (Pampas Cat)
แมวป่าขนาดเล็ก พบได้ในบริเวณที่ราบลุ่มแพมพาสของอาร์เจนตินา ชิลี เปรู บราซิล และโบลิเวีย ขนาดตัวใกล้เคียงกับแมวบ้าน มีความยาวจากหัวจรดปลายหาง 60 เซนติเมตร ขนดก หนา สีน้ำตาลแดง หัวมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับลำตัว จะออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืน
8. แมวจากัวรันดี (Jaguarundi)
ลักษณะคล้ายแมวผสมพังพอน มีรูปร่างปราดเปรียว ขาสั้น ใบหน้าเล็ก โดยส่วนมากมีขนสีดำ น้ำตาล-เทา และน้ำตาล-แดง มีถิ่นที่อยู่อาศัยในทวีปอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาใต้ ไปจนถึงตอนเหนือของเม็กซิโก ล่านก กระต่าย และปลาตามแอ่งน้ำขังเป็นอาหาร
9. เสือปลา (Fishing cat)
เสือปลาหรือเสือแผ้วจัดเป็นแมวป่าขนาดกลาง อาศัยและหากินตามป่าพรุ ป่าละเมาะ และป่าชายเลน อาหารหลักคือปลา กบ นก และหนู ขนชั้นในสั้นและหนาจนน้ำซึมผ่านไม่ได้ มีถิ่นที่อยู่อาศัยในทางตอนใต้ของอินเดีย ศรีลังกา เวียดนาม ไทย พม่า และหมู่เกาะสุมาตรา
10. ออเซลอท (Ocelot)
โดยส่วนมากจะอาศัยอยู่ตามป่านฝนและพื้นที่กึ่งทะเลทราย โดยมีถิ่นที่อยู่อาศัยตั้งแต่ทางตอนใต้ของรัฐเทกซัสไปจนถึงทางเหนือของอาร์เจนตินาและอเมริกาตอนใต้ ขนของพวกมันมีลวดลายสวยงามมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ถูกล่าเพื่อนำขนไปขาย บ้างก็ถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ปัจจุบันได้มีการออกกฎหมายคุ้มครองแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก boredpanda, bigcatrescue, animaldiversity, wotcat และ eol
https://pet.kapook.com/view135126.html
Saturday, May 30, 2020
Friday, May 22, 2020
เมื่อเหมียว...อ้วก ?
เมื่อเหมียว...อ้วก ? (Cat Magazine)
คอลัมน์ Cat Care โดย สพ.ญ.ปิยกาญ โรหตาคนี
เมื่อเจ้าเหมียวที่เราเลี้ยงไว้นั้นมีอาการอ้วกหรืออาเจียน อาจเกิดได้จากปัญหาเล็ก ๆ เช่น การกินอาหารเร็วเกินไป การกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไป หรือการออกกำลังกายมากไปหลังกินอาหาร ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ไม่น่าวิตกกังวลนัก แต่นอกจากนั้นแล้ว อาการอาเจียนยังอาจบ่งบอกถึงปัญหาอื่น ๆ ที่น่าวิตกกังกวลได้เช่นเดียวกัน
อาการอาเจียน (Vomiting) คือการที่อาหารหรือสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารเคลื่อนตัวย้อนกลับผ่านทางหลอดอาหารแล้วมาออกทางปาก เป็นอาการที่เกิดจากความผิดปกติ ของระบบทางเดินอาหารโดยตรง อย่างเช่น โรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือลำไส้ แลอาจเป็นอาการที่เกี่ยวเนื่องมาจากโรคอื่น ๆ เช่น มะเร็ง ไตวาย เบาหวาน หรือการติดเชื้อ เป็นต้น
ทั้งนี้ อาการอาเจียนเกิดได้ทั้งแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง (กินระยะเวลายาวนาน 1-2 สัปดาห์) โดยสิ่งที่เราควรเฝ้าระวังในแมวที่มีอาการอาเจียนก็คือ
ภาวะร่างกายขาดน้ำ
อาการเบื่ออาหาร ท้องเสีย น้ำหนักลด การมีเลือดปนออกมากับสิ่งที่อาเจียน ฉะนั้น ถ้าแมวมีอาการอาเจียนหลาย ๆ ครั้ง จึงควรรีบพาไปหาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุและรักษาได้ทันท่วงที
สาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการอาเจียน
1. สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร
ติดเชื้อแบคทีเรียที่ทางเดินอาหาร
การเปลี่ยนอาหาร
การกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไป เช่น ของเล่น พลาสติก
การเกิดลำไส้กลืนกัน
การมีพยาธิในทางเดินอาหาร
2. สาเหตุอื่น ๆ
ไตวาย
ตับวาย ถุงน้ำดีอักเสบ
โรคเบาหวาน
ภาวะมดลูกอักเสบ
ผลข้างเคียงจากยา เช่น ยาที่ใช้รักษาเกี่ยวกับมะเร็ง หรือยาปฏิชีวนะบางตัว เช่น เตตราชัยคลิน
ตับอ่อนอักเสบ
การติดเชื้อไวรัส
การได้รับสารพิษ
การวินิจฉัยสามารถทำได้จากประวัติ เช่น อาหารการกิน การฉีดวัคซีน และการตรวจร่างกายเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การตรวจอุจจาระ (เพื่อหาตัวปรสิต) การเอกซเรย์ช่องท้องทั้งแบบธรรมดา หรือ กลืนแป้งแล้วเอกซเรย์ เพื่อตรวจดูว่ามีการอุดตันทางเดินอาหารหรือมีสิ่งผิดปกติหรือไม่ การอัลตร้าซาวนด์ การส่องกล้อง และการผ่าตัดเพื่อสำรวจช่องท้อง เป็นต้น
การรักษา
กำจัดสาเหตุเหนี่ยวนำ เช่น ถ้ามีการเปลี่ยนอาหารก็ให้เปลี่ยนกลับมากินแบบเดิม และไม่ควรให้แมวกินต้นหญ้าหรือพืชใด ๆ
ควรงดอาหารและน้ำทางการกินจนกว่าอาการอาเจียนจะหยุด เป็นเวลา 12-24 ชั่วโมง แต่ให้น้ำเกลือเข้าทางใต้ผิวหนังหรือเส้นเลือดแทน และเมื่อหยุดอาเจียนแล้ว จึงค่อย ๆ เริ่มให้กินทีละเล็กทีละน้อย
อาการอาเจียนที่เกิดแบบเฉียบพลันและแมวยังคงไม่ซึม เช่น เกิดจากกินอาหารมากเกินไป กินเร็วเกินไป วิ่งเล่นหลังกินอาหารมากไป ให้รักษาตามอาการเท่านั้นก็เพียงพอ เช่น ให้น้ำเกลือเข้าใต้ผิวหนัง ให้ยาแก้อาเจียน แล้วเฝ้าสังเกตอาการต่อเนื่อง
ถ้าแมวมีอาการอาเจียน ร่วมกับอาการปวดท้อง ท้องเสีย เบื่ออาหาร อาจำเป็นต้องให้น้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือดดำ ให้ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อาเจียนและอื่น ๆ ตามเหมาะสม พร้อมทั้งต้องคอยสังเกตอาการต่องเนื่องใน 24 ชั่วโมง และหาสาเหตุที่แท้จริงของการอาเจียนให้ได้เพื่อรักษาต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://pet.kapook.com/view12670.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/542754192577197490/
Friday, May 15, 2020
เรื่องน่ารู้ พฤติกรรมแมวไทย
เรื่องน่ารู้ พฤติกรรมแมวไทย (Cat Magazine)
เรื่อง : อิสริย รัตนะวีระวงศ์
การที่คนเราใกล้ชิดคุ้นเคยกับแมวไทย จะทำให้สามารถรับรู้ถึงพฤติกรรมต่าง ๆ และเข้าใจความหมายเหล่านั้นที่แมวไทยแสดงออกมาได้ทำให้เกิดความรัก ความเอ็นดูโดยที่เราไม่รู้ตัว ผู้ที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับแมวไทยจะไม่เข้าใจสิ่งนี้ ดังนั้น ผู้ที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงแมวไทยควรจะทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมและธรรมชาติของแมวไทยที่ตนเองเลี้ยงไว้ ซึ่งแมวไทยมักมีพฤติกรรมต่าง ๆ ดังนี้
1. การส่งสัญญาณโดยใช้กลิ่น
การส่งสัญญาณโดยการใช้กลิ่นของแมวนั้นเกิดขึ้นมาจากการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม แมวจะมีต่อมกลิ่นอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณแก้ม คาง เท้า และโคนหาง ซึ่งจะผลิตฮอร์โมนออกมา กลิ่นเหล่านี้จะทำหน้าที่ช่วยให้แมวจำกันได้ ซึ่งมีผลกับแมวดังนี้คือ
- การทักทายของแมว เมื่อแมว 2 ตัวมาเจอกัน เขาจะทำการทักทายกันด้วยการสัมผัส โดยใช้ หัว คาง แก้ม และสีข้างทำการถูตัวไปมาแมวตัวที่อายุน้อยกว่าโดยส่วนมากจะเป็นฝ่ายที่ใช้หลังของเขาถูคางของแมวที่มีอายุมากกว่า กรณีที่เราเลี้ยงแมวในกรง เราอาจจะเห็นเหตุการณ์นี้บ่อยๆ เมื่อเราเดินผ่านกรงแมว คือแมวลุกขึ้นแล้วพยายามเดินตามเราโดยการเอาตัวถูกรงเดินตามเรา นั่นคือการที่เขาต้องการทักทายเราซึ่งเป็นเจ้าของเขานั่นเอง
- การแสดงความแข็งแรง เมื่อแมวต่อสู้กัน แมวตัวที่ชนะนั้นจะทำการปล่อยกลิ่นหลายๆ ครั้งในบริเวณนั้น เพื่อเป็นการแสดงอาณาเขต ความมั่นใจ และความแข็งแรงให้คู่ต่อสู้ได้เห็น ส่วนฝ่ายที่แพ้ก็อาจจะแอบมาปล่อยกลิ่นทับบริเวณนั้น โดยจะคอยหลบไม่ให้ตัวที่ชนะเห็น
- การแสดงอาณาเขต แมวตัวผู้มักจะทำการแสดงอาณาเขตโดยการปล่อยกลิ่นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของในบริเวณนั้น โดยที่เขาจะยกหางขึ้นตั้งให้ตรงและแกว่งไปแกว่งมา พร้อมกับปล่อยของเหลวจากต่อมใต้โคนหาง กลิ่นนี้จะคงอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะจางหายไป
แมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด ในแต่ละวันแมวจะใช้เวลาในการทำความสะอาดตนเองมาก ในน้ำลายแมวจะมีสารที่ชื่อว่า "ดีเทอร์เจนต์" สารชนิดนี้จะทำหน้าที่ช่วยทำให้ขนของแมวสะอาดและมีกลิ่นหอม โดยในแต่ละวันแมวจะใช้ลิ้นเลียขนของตัวเองเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและขนที่หมดสภาพให้หลุดออกไป และเนื่องจากแมวเป็นสัตว์ที่มีต่อมเหงื่อเฉพาะบริเวณอุ้งเท้าเท่านั้น การเลียขนจึงเป็นการช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายแมวอีกด้วย แมวสามารถใช้สิ้นของเขาเลียได้ทุกส่วนยกเว้นบริเวณหัว แต่เขาสามารถแก้ปัญหาได้โดยการเลียเท้า และใช้เท้าทำความสะอาดส่วนหัวที่ไม่สามารถเลียถึงได้ สำหรับบ้านที่เลี้ยงแมวมากกว่า 1 ตัวขึ้นไปนั้น อาจจะเห็นแมว 2 ตัว ผลัดกันเลียขนของกันและกันในบริเวณที่เอื้อมไม่ถึงความสะอาดของตัวแมวนั้นตามธรรมชาติมีประโยชน์อย่างมากกับการล่าเหยื่อ เพราะแมวจะไม่ติดตามเหยื่อ แต่เขาจะใช้วิธีชุ่มจับ ดังนั้นแมวจึงต้องรักษาความสะอาดของตัวเองเพื่อที่ว่าเหยื่อจะไม่ได้กลิ่นตัวของแมวนั่นเอง
3. การลับเล็บ
แมวส่วนมากมักจะชอบทำลายข้าวของ เช่น ตะกุยเก้าอี้หรือเฟอร์นิเจอร์การกระทำเหล่านี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้เป็นเจ้าของ แม้ว่าเราจะไม่โกรธเขาก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมการลับเล็บของแมว เพื่อทำการขัดเล็บเก่าออกไปให้เล็บใหม่ขึ้นมา สังเกตได้ว่าเราจะพบเศษเล็บของแมวอยู่ตามเฟอร์นิเจอร์อยู่บ่อยๆ และแมวจะทำการปล่อยกลิ่นจากต่อมเหงื่อที่มีกลิ่นพิเศษ เพื่อให้แมวตัวอื่นรู้ว่าเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้มีเจ้าของ
4. การเคล้าแข้งเคล้าขา
พฤติกรรมการเคล้าแข้งเคล้าขาคนนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมิตร แต่บางครั้งยังเป็นการปล่อยกลิ่นมาจากต่อมกลิ่นที่อยู่บริเวณขมับและที่โคนหางให้ติดตามตัวคน หลังจากที่ทำการปล่อยกลิ่นใส่แล้ว จะช่วยทำให้แมวอารมณ์ดี สังเกตได้จากเสียงครางเบา ๆ ในลำคอของแมว
5. การแสดงออกทางใบหน้า
ใบหน้าของแมวสามารถบ่งบอกอารมณ์ต่าง ๆ ที่แสดงออกมาดังนี้
หนวด
1. หากหนวดมีลักษณะไปอยู่ด้านข้างเป็นพุ่ม แสดงถึงความสงบสบายใจและความเป็นมิตร
2. หากหนวดมีลักษณะลาดและรวบไว้ข้างแก้ม แสดงถึงว่าตอนนี้อยู่ในท่าที่ระมัดระวัง หรืออาย
3. หากหมวดมีลักษณะแผ่ออก แสดงว่ากำลังสนใจอะไรบางอย่างหรือว่ามีสิ่งที่น่าตื่นเต้น
หู
หูเป็นส่วนที่สามารถรับรู้ได้ไวมาก
1. ถ้าหากหูมีลักษณะยกยื่นไปข้างหลังนั้น เป็นการเตือนภัยว่ามีศัตรูอยู่บริเวณนี้
2. หากหูมีลักษณะโค้งกลับหรือลู่ลงข้างๆ ลำตัว เป็นการแสดงถึงการป้องกันตัวและพร้อมที่จะต่อสู้
ตา
1. ม่านตาลดลง แสดงถึงความตึงเครียดหรืออาจจะกำลังสนใจบางสิ่งบางอย่างอยู่
2. ม่านตาเปิดกว้าง แสดงถึงอาการตกใจกลับ หรือกำลังเตรียมพร้อมป้องกันตัว
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับพฤติกรรมของแมวไทยในฉบับนี้เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลาย ๆ ท่านก็คงจะเคยพบเจอจากเจ้าเหมียวในครอบครัวกันมาแล้วทุกข้อ จนอาจสงสัยว่าที่กล่าวมานี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมของแมวทั่วไป ไม่ถึงกับจำเพาะว่าต้องเป็นแมวไทย แมวที่ไหนก็มีพฤติกรรมแบบนี้กันทั้งนั้น ความสงสัยของท่านถูกต้องแล้วครับ เพราะแมวเหมียวที่เราเห็นกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นแมวจรตามท้องถนน แมววัด หรือพันธุ์ผสมพันทางในบ้านเรา นั้นมีสายเลือดของแมวไทยผสมอยู่ แต่ถ้าได้ลองเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของแมวต่างประเทศสายพันธุ์แท้นั้นจะแตกต่างกันมากครับ ซึ่งผู้เขียนจะหยิบยกรายละเอียดมากล่าวถึงในโอกาสต่อไป เนื่องจากผู้เขียนได้เตรียมต้นฉบับสำหรับหัวข้อนี้ไว้ยาวพอสมควร จึงจะขอแบ่งเป็นหลาย ๆ ตอน แล้วเล่าไปเรื่อย ๆ ตามลำดับก็แล้วกันนะครับ สำหรับฉบับนี้ต้องขอลากันไปแต่เพียงเท่านี้นะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Wednesday, May 13, 2020
ไขข้อสงสัย หมัดแมว แวมไพร์จิ๋วบนร่างเหมียว กัดคนไหม จะกำจัดหมัดยังไงดี ?
ไขข้อสงสัยเรื่อง หมัดแมว แวมไพร์จิ๋วในร่างปรสิต ที่อาศัยอยู่บนตัวเหมียว อันตรายกับคนไหม และจะกำจัดอย่างไรดี วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันแล้วค่ะ
แมวถือเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของใครหลายคน เพราะมีหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู บวกกับนิสัยมุ้งมิ้ง ขี้อ้อน จึงทำให้คนส่วนใหญ่หลงรักได้ไม่ยาก อ๊ะ ๆ ๆ แต่ก็ใช่ว่าสัตว์เลี้ยงชนิดนี้จะมีแต่ความดีงามอย่างเดียวเท่านั้น เพราะหากไม่ระวังหรือหาทางป้องกันไว้ก่อนก็อาจโดนเจ้าปรสิตที่ชื่อว่า "หมัดแมว" โจมตีทั้งเหมียวและเจ้าของได้ แต่มีอันตรายมาก-น้อยแค่ไหน มีวิธีกำจัดและป้องกันหมัดอย่างไรนั้น ตามไปดูกันเลยค่ะ
ลักษณะของหมัดแมวเป็นอย่างไร ?
หมัดแมว (Cat Flea หรือ Ctenocephalides) ถือเป็นปรสิตชนิดหนึ่ง มีวงจรชีวิตแบ่งออกเป็น 4 ระยะคือ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย ลักษณะมีสีน้ำตาลเข้ม ลำตัวแบนและแข็ง มีขา 4 คู่ ความยาวประมาณ 1.5-3.3 มิลลิเมตร กระโดดได้ไกล เคลื่อนที่เร็ว และดำรงชีวิตด้วยการกินเลือดเป็นอาหาร อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน 2 เดือน ถึง 1 ปี
หมัดแมว กัดคนไหม อันตรายแค่ไหน ?
ไม่ว่าที่บ้านจะเลี้ยงสัตว์หรือไม่ได้เลี้ยง แต่ก็มีโอกาสที่จะโดนหมัดแมวกัดได้ สำหรับคนสงสัยว่าถ้าที่บ้านมีสัตว์เลี้ยง มีโอกาสที่หมัดแมวจะเข้าหูได้หรือเปล่า ? ก็ต้องบอกว่าอาจจะเป็นไปได้ แต่มีโอกาสน้อยมาก เพราะปกติหมัดแมวไม่ใช่แมลงที่อาศัยอยู่ตามร่างกายคน
นอกจากนี้ สัตวแพทย์หญิงรัตนพร ตั้งวังวิวัฒน์ จากกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า จากการตรวจสอบผลทางการแพทย์ ยังไม่เคยพบผู้เสียชีวิตที่ติดเชื้อในกระแสเลือดจากเห็บหมัดมาก่อน ยกเว้นในรายที่มีอาการแพ้รุนแรงมาก ก็มีโอกาสที่จะช็อก และเสียชีวิตจากการช็อกได้
หมัดแมวกัด มีอาการอย่างไร ?
หากโดนหมัดแมวกัดสามารถสังเกตได้จากอาการเบื้องต้นคือ มีตุ่มนูนแดงหรือตุ่มน้ำใส เป็นแนวยาวหรือกระจุกเป็นหย่อมรูปสามเหลี่ยม 3-4 ตุ่ม และมีจุดหมัดกัดตรงกลาง ส่วนใหญ่หมัดแมวจะกัดบริเวณแขน ขา และเอว สามารถหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม คนที่แพ้บางรายอาจจะเกิดปฏิกิริยาทำให้เป็นลมพิษได้ โดยจะมีอาการเป็นตุ่มนูนแดงจำนวนมาก และมีอาการนานหลายสัปดาห์ ซึ่งการรักษานั้นมีหลายวิธี ได้แก่ รับประทานยาแก้แพ้ หรือทาบริเวณที่มีอาการคันด้วยยาสเตียรอยด์ รวมถึงการใช้สมุนไพรอย่าง เสลดพังพอน ช่วยบรรเทาอาการ
วิธีกำจัดและป้องกันหมัดแมว
การกำจัดหมัดแมวสามารถทำได้หลายวิธี แต่ไม่สามารถฆ่าหมัดได้ด้วยการใช้นิ้วบีบ หากจะให้ดีควรใช้ยาหยอดหรือพ่นสารเคมีกำจัดแมลงภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์ พร้อมกับการอาบน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำยากำจัดหมัดแมว นอกจากนี้หมั่นดูแลและทำความสะอาดภายในบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยการใช้สเปรย์ฆ่าแมลงฉีดพ่นตามเฟอร์นิเจอร์ และใช้เครื่องดูดฝุ่นเน้นทำความสะอาดบริเวณที่สัตว์ชอบนอน ฝาผนัง รวมถึงตามซอกมุมต่าง ๆ เช่น ขอบบัวหรือขอบคิ้ว
เอาล่ะ มาถึงตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหมัดแมวกันไปแล้ว ฉะนั้นต่อไปนี้อย่าลืมดูแลรักษาแมวให้ดี อีกทั้งต้องคอยควบคุมและป้องกันหมัดแมวอยู่เสมอด้วย จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะมีหมัดแมวมากัดเราหรือเปล่านั่นเอง อ้อ ส่วนใครที่อยากกำจัดหมัดแมวแบบธรรมชาติ แต่มีประสิทธิภาพ ตามไปดูได้ที่นี่เลยค่ะ
แมว แพ้ท้อง เหมือนคนหรือเปล่านะ
แมวแพ้ท้องเหมือนคนหรือเปล่า (โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ)
Q : อยากสอบถามว่า แมวมีอาการอ่อนเพลีย อาเจียนคืออาการแมวแพ้ท้องใช่หรือไม่คะ แมวมีอาการแพ้ท้องเหมือนคนหรือเปล่า
A : ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แมวท้อง จะไม่แสดงอาการแพ้ท้องเหมือนคน โดยปกติแล้วเราจะไม่ทราบได้เลยว่าแมวตั้งท้องหรือไม่ จนกว่าจะวินิจฉัยโดยการอัลตร้าซาวด์ หรือสังเกตจากท้อง หรือเต้านมเท่านั้น
สำหรับ อาการที่ถามมา แมวอาจมีความผิดปกติ ดังนั้น ควรนำมาพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยละเอียดจะดีกว่า เพราะจากอาการเข้าข่ายอาการของหลายโรคทั้ง มดลูกอักเสบ, โรคไวรัสต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้กระบะทรายร่วมกัน การกัดกัน , โรคตับ หรือไต ซึ่งต้องมีการวินิจฉัยเพิ่มเติมก่อน
แต่ทั้งนี้ ก็อาจจะเป็นความเครียดที่เกิดจากการเปลี่ยนสถานที่เลี้ยง ทำให้เกิดอาการซึม หรือไม่ทานอาหารได้ แนะนำให้ลองดูอาการจนครบ 1 วัน หากไม่ดีขึ้น ควรพาไปพบสัตวแพทย์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://pet.kapook.com/view11834.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/381187555961094352/
Friday, May 8, 2020
ทำอย่างไร... เมื่อแมวแพ้อาหาร
เรื่องโดย ร.ต.อ.สพ.ญ.อารยา ผลสุวรรณ์ โรงพยาบาลสัตว์ สัตวแพทย์ 4
วันนี้ขอรายงานส่งตรงมาจาก ออร์แลนโด สหรัฐอเมริกา ด้วยข้อมูลที่ได้จากงานประชุมวิชาการ NAVC 2011 โดย Dr.Valerrie Fadok สัตวแพทย์ที่ Gulf Coast Veterinary Specialists เมือง Houston
ดูจะเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับผู้เลี้ยงแมวไหมคะ ที่จะได้ทราบว่าแมวที่เราเลี้ยงอยู่ก็มีโอกาสเป็นโรคแพ้อาหารได้เช่นเดียวกับสุนัข เริ่มจากทบทวนก่อนว่าแมวไม่ใช่ลูกหมาน้อย ๆ นะ วันนี้จะมาบอกกล่าวถึงสิ่งที่เรารู้และบางสิ่งที่เรายังไม่รู้ โดยเฉพาะในเรื่องแมวที่แพ้อาหาร
อาการเบื้องต้น มักเกิดที่ผิวหนังก่อน โดยมีการอักเสบ แดง ขนร่วง โดยเฉพาะบริเวณหน้า หัว คอ จะพบบ่อยที่สุด และมีความจำเป็นที่จะต้องแยกอาการนี้จากโรคขี้เรื้อนในแมวให้ได้ ในตอนแรก และพบว่าในรายที่มีอาการทางผิวหนัง มักมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสียร่วมด้วย แต่ถ้าไม่เป็นที่ผิวหนัง อาจพบว่ามีอาการท้องเสียได้อย่างเดียว
อาหารที่แมวทานแล้วมักจะแพ้ จะอยู่ในกลุ่ม นม ไข่ ถั่ว เนื้อสัตว์ มีแมวบางตัวที่แพ้ได้ทั้งเนื้อปลาและเนื้อแกะ ดังนั้นการรักษาในรายที่แพ้อาหารนั้นไม่ใช่การรักษาทางยา แต่ควรเป็นการรักษาด้วยอาหารนี่แหละ และไม่ควรลืมว่า ได้ถ่ยพยาธิในลำไส้อย่างสม่ำเสมอแล้วด้วย เพราะมีรายงานว่า อาการแพ้อาหารในแมว ส่วนหนึ่งอาจมีสาเหตุมาจากพยาธิในทางเดินอาหาร และที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในการควบคุมการแพ้อาหาร คือ ไม่ควรเลี้ยงแมวแบบปล่อยออกนอกบ้าน ควรให้วิ่งเล่นในบ้าน เพราะไม่รู้ว่า เมื่อออกนอกบ้านไป จะไปขโมยอาหารของบ้านอื่นทานหรือไม่
โดยสรุปคือ การรักษาที่ได้ผลดีที่สุด คือการรักษาด้วยอาหาร ไม่ใช่การใช้ยา และ You are what you eat กินอย่างไรก็ได้อย่างนั้น นอกจานี้ ในแมวบางตัวที่มีอาการของโรคผิวหนังบริเวณดังกล่าวอยู่นานแล้ว ไม่หายสักที ลองปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
1. รวบรวมประวัติของชนิดอาหารที่เคยให้แมวทานมาตั้งแต่แรก
2. ควรเลืออาหารที่คิดว่าเหมาะสมก่อนเพียงชนิดเดียว
3. แมวสามารถยอมทานอาหารที่จัดให้ได้ตามปกติ
4. ใช้อาหารที่แมวเลือกทานเป็นเวลานานอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ติดต่อกัน บางรายอาจให้เวลานานถึง 12 สัปดาห์ หากอาการที่ผิวหนังดีขึ้น ให้ใช้ต่อไป
5. เมื่อครบ 12-14 สัปดาห์ กลับมาให้อาหารตัวเดิม แล้วสังเกตว่ากลับมามีอาการคันอีกหรือไม่ ถ้าเป็นอีก แสดงว่าแมว แพ้อาหารชนิดดังกล่าว
จะเห็นว่าการรักษาแมว เราไม่ได้ใช้ยาชนิดที่ไปลดการเกิดอาการแพ้ให้เกิดผลข้างเคียงเลย แต่อย่างไรขอเพียงให้แมวทานอาหารที่เราจัดให้ ซึ่งอาหารแมวที่มีอยู่ในท้องตลาด เราแบ่งอาหารลดอาการแพ้ออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบ Novel protein และแบบ Hydrolysed protein พบว่าแบบ Novel protein จะมีข้อดีที่ไม่มีผลต่อระบบภูมิต้านทาน แต่แมวมักไม่ค่อยชอบทาน และเม็ดมักมีขนาดใหญ่กว่า แต่อาหารที่เป็นพวก Hydrolysed protein แมวจะชอบทานมากกว่า แต่อาจเกิดผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อทานต่อเนื่องนาน ๆ
เชื่อว่าอย่างน้อยคงพอเป็นข้อแนะนำเบื้องต้นให้ผู้เลี้ยงแมว ได้ตระหนักความสำคัญในการเลือกใช้อาหารได้มากขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://pet.kapook.com/view21468.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/747597606914167609/
Thursday, May 7, 2020
โปรแกรมวัคซีนของเจ้าเหมียว
โปรแกรมวัคซีนของเจ้าเหมียว (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
มีโรคติดเชื้อที่ร้ายแรงหลายโรคที่เกิดขึ้นในแมว และไม่สามารถรักษาได้ บางโรคสามารติดต่อถึงคนได้ แนวทางที่ดีที่สุดที่ไม่ให้เกิดโรคขึ้นกับเจ้าเหมียวที่แสนน่ารักของเรา คือ การปลูกภูมิคุ้มกันโรค หรือที่เรารู้จักกันว่า "การฉีดวัคซีนป้องกันโรค" เนื่องจากมีโรคของแมวหลายโรคที่พบได้ในประเทศไทย ดังนั้น จึงต้องมีการกำหนดโปรแกรมการฉีดวัคซีนดังกล่าว
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอาจจะมีความยุ่งยากสำหรับเจ้าของแมวในช่วงที่ลูกแมวมีอายุไม่เกิน 1 ปี ที่ต้องนำมาฉีดวัคซีนหลายเข็ม เนื่องจากการฉีดเข็มแรกแล้ว ยังต้องนำแมวมาฉีดกระตุ้นซ้ำอีก 1 หรือ 2 ครั้งในแต่ละโรค อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีวัคซีนรวม ซึ่งสามารถให้ภูมิคุ้มกันโรคได้หลาย ๆ โรค ทำให้ลดจำนวนครั้งในการฉีดวัคซีนในช่วงอายุไม่เกิน 1 ปี หลังการฉีดวัคซีนในช่วงอายุไม่เกิน 1 ปีแล้ว (หรือแมวที่มีอายุมากกว่า แต่ไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อนเลย ต้องมีการเริ่มการฉีดในลักษณะดังกล่าวเหมือนกัน) ในปีต่อไปก็จะเป็นการฉีดวัคซีนประจำปี
สำหรับโปรแกรมฉีดวัคซีนแมว มีดังนี้
ไข้หัด ระบบหายใจ ช่องปากอักเสบ และลิ้นอักเสบ (Feline Distemper, Rhinotracheitis and Calicivirus) ฉีดช่วงอายุ 8-10 สัปดาห์ และกระตุ้นซ้ำที่ 12-14 สัปดาห์
โรคลิวคีเมีย (Leukemia) ฉีดช่วงอายุ 8-10 สัปดาห์ และกระตุ้นซ้ำที่ 12-14 สัปดาห์
โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ฉีดช่วงอายุ 12 สัปดาห์ และกระตุ้นซ้ำที่อายุ 6 เดือน
หมายเหตุ
โปรแกรมนี้ยังสามารถปรับได้ ตามดุลพินิจของสัตวแพทย์ และความชุกของโรคนั้นในพื้นที่
ควรงดการอาบน้ำ 7 วันหลังการฉีดวัคซีน
ควรถ่ายพยาธิเมื่อลูกแมวอายุ 3-4 สัปดาห์ และทุก 6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://pet.kapook.com/view17874.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/502644008394490162/
Tuesday, May 5, 2020
น้องเหมียวอาเจียนอีกแล้ว ทำอย่างไรดี?
น้องเหมียวอาเจียนอีกแล้ว ทำอย่างไรดี? (Cat Magazine)
เรื่อง : ฝ่ายวิชาการโรงพยาบาลสัตว์มั่นมหัคฆ์
โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดกับเจ้าเหมียวมากมายหลายโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับอาการ "อาเจียน" อาการนี้เป็นอาการไม่จำเพาะ ที่สามารถพบได้บ่อยในแมวป่วย หากลองสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าแมวเป็นสัตว์ที่อาเจียนได้ง่ายกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ มาก เจ้าเหมียวอาจอาเจียนโดยไม่มีท่าทีใด ๆ ว่าจะป่วยมาก่อน ในบางครั้งแมวอาจอาเจียนออกมาทันทีหลังจากกินอาหาร แล้วก็กินอาหารที่เพิ่งอาเจียนออกมากลับเข้าไปใหม่ หรือในบางครั้ง แม่แมวก็ขย้อนเอาอาหารออกมาเพื่อให้ลูกแมวกิน
เจ้าของแมวอาจทำการจำแนกอาการอาเจียนที่เกิดกับเจ้าเหมียวเองได้ง่าย ๆ เพราะในบางครั้งการอาเจียนที่เกิดขึ้นอาจเกิดมาจากการกินที่เร็วเกินไป หรือไปกินสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร จนทำให้เกิดอาการอาเจียน ซึ่งอาการเหล่านี้มักเป็นชั่วคราว และไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับโรคทางระบบที่เป็นอันตราย แต่ถ้าหากอาการอาเจียนที่เกิดขึ้นเกิดจากความผิดปกติอื่นๆ และทำให้มีการเสียน้ำและเกลือแร่แล้ว ควรนำแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคและรักษาต่อไป
อาเจียนเกิดได้อย่างไร
การอาเจียนเป็นผลมาจากการกระตุ้นของศูนย์ควบคุมการอาเจียนในสมอง โดยมีตัวรับหรือ Receptors อยู่ในส่วนของทางเดินอาหารและที่อื่นๆ ในร่างกาย เมื่อแมวจะอาเจียน อาจสังเกตเห็นอาการน้ำลายไหลมากกว่าปกติ และมีท่าทางขย้อน หรือพยายามกลืนหลาย ๆ ครั้ง
สาเหตุของการอาเจียนส่วนใหญ่เกิดจากการกลืนขน หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่สามารถย่อยได้เข้าไป เช่น หญ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไประคายเคืองทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ปรสิตในทางเดินอาหารก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองได้เช่นกัน แต่สาเหตุส่วนมากที่ทำให้แมวมีการอาเจียนก็คือการกินที่มากเกินไป หรือกินเร็วเกินไป เช่น เมื่อลูกแมวมากินอาหารทันที หลังจากที่เล่นเสร็จใหม่ๆ อาจอาเจียนออกมาได้ การอาเจียนที่เกิดจากสาเหตุนี้ไม่มีความรุนแรงจนน่าเป็นห่วง วิธีแก้ไขคือให้อาหารลูกแมวทีละน้อยเพื่อป้องกันการกินเร็วจนอาเจียน
การอาเจียน 1-2 ครั้งในแมว ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าการอาเจียนนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการกิน แต่ว่ามาจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคติดเชื้อ โรคไต โรคตับ หรือความผิดปกติที่ระบบประสาท โดยโรคที่ทำให้เกิดอาการอาเจียนนั้นรวมไปถึง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในแมว ทอนซิลอักเสบ เจ็บคอ ลำไส้อักเสบ และมดลูกอักเสบด้วย โรคเหล่านี้มักมีอาการอื่นๆ ปรากฏให้เห็นร่วมด้วย และหากพบการอาเจียนในแมวอายุน้อย อาจเกิดจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ สาเหตุของการอาเจียนที่สำคัญอีกประการ คือการอาเจียนอันเนื่องมาจากการได้รับสารพิษหรือยาที่เป็นอันตรายต่อแมว ซึ่งเป็นอันตรายชนิดฉุกเฉิน อาจทำให้แมวเสียชีวิตได้
ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อน้องเหมียวอาเจียน
เมื่อเห็นแมวมีอาการอาเจียนบ่อยครั้ง และไมได้เกิดจากการกินมีมากหรือเร็วเกินไป ควรรีบนำเจ้าเหมียวไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะหากมีการอาเจียนบ่อยครั้ง ย่อมทำให้เกิดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทำให้แมวมีอาการแห้งน้ำได้ หากมีอาการถ่ายเหลวร่วมด้วยจะยิ่งทำให้การสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายรุนแรงยิ่งขึ้น และหากแมวยังมีการอาเจียนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะตลอด 24 ชั่วโมง ควรรีบพาเจ้าเหมียวไปพบสัตแพทย์โดยด่วนที่สุด
การปฐมพยาบาลแมวที่มีอาการอาเจียนด้วยตัวเองที่บ้านนั้น สามารถทำได้ในแมวโตที่มีอาการทั่วไปปกติดี ไม่มีอาการป่วยอื่นๆ ร่วมกับอาการอาเจียน ส่วนในแมวเด็กและแมวชรานั้นต้องพิจารณาอาการอื่นๆ ประกอบไปด้วย เพราะโดยมากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมาก มีความเสี่ยงที่อาจทำให้แมวเสียชีวิตได้
ในแมวที่อาเจียนเนื่องจากเกิดการระคายเคืองในทางเดินอาหารหลังจากแมวได้อาเจียนขับสิ่งแปลกปลอมออกมา ให้ทำการพักกระเพาะอาหารโดยงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หากน้องเหมียวหิวน้ำอาจให้เลียน้ำแข็ง เพื่อไม่ให้น้องเหมียวกินน้ำเร็วเกินไป หลังจากที่อาการอาเจียนหยุดแล้วเป็นเวลา 12 ชั่วโมง สามารถให้น้ำผสมเกลือแร่ได้ และอาจให้อาหารเป็นมื้อเล็กๆ 6 มื้อต่อวันไปอีก 2 วัน ก่อนที่จะกลับมาให้อาหารตามปกติ (ควรทำการปรึกษาสัตวแพทย์ ก่อนทำการตั้งโปรแกรมให้อาหารเพื่อการพักฟื้นที่เหมาะสมสำหรับแมวแต่ละตัว)
หากเกิดกรณีต่าง ๆ ต่อไปนี้ ควรพาน้องเหมียวไปพบสัตวแพทย์
- อาเจียนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะงดน้ำและอาหารเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม
- อาเจียนเมื่อยพายามป้อนน้ำและอาหาร
- มีอาการอาเจียนร่วมกับถ่ายเหลว
- อาเจียนออกมาเป็นเลือดสด หรืออาเจียนออกมาเป็นสีน้ำตาลปนเลือดสีดำๆ
- แมวมีอาการอ่อนแรง และมีอาการป่วยทางระบบร่างกายส่วนอื่น ๆ ร่วมด้วย
การสังเกตความผิดปกติทั้งหลายที่เกิดกับแมว เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาโรคเป็นไปอย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น เจ้าของสามารถเล่าความผิดปกติของแมวให้สัตวแพทย์ฟังได้ และไม่รีรอให้อาการของเจ้าเหมียวทรุดหนักจนเป็นอันตรายที่ร้ายแรง นอกจากนี้การมีความรู้เพื่อสังเกตอาการของเจ้าเหมียวในเบื้องต้น ก็ยังช่วยไม่ให้เจ้าของสับสนว่าตกลงแล้วที่เจ้าตัวยุ่งอาเจียนออกมานั้น มีความอันตรายมากน้อยแค่ไหนกันแน่
เพียงแค่มีความรู้ และมีสติอยู่กับตัว น้องเหมียวที่คุณรักก็จะได้รับการดูแลในแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมจากเจ้าของที่รักแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://pet.kapook.com/view40022.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/324188873163387905/
Subscribe to:
Posts (Atom)