เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
หากจะเปรียบแมวเป็นนักยิมนาสติก็คงไม่ผิดนัก เพราะไม่ว่าจะตกหรือกระโดดลงมาจากความสูงระดับไหน สุดท้ายแล้วก็สามารถกลับมายืนอย่างสง่างามและเดินได้ตามปกติทุกครั้งไป แถมยังไม่มีอาการเจ็บปวดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ใครต่อใครเรียกขานกันว่า เป็นสัตว์ที่มี 9 ชีวิต ทั้งนี้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เราจึงขอนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน
1. โฟกัสไปยังพื้นที่เป้าหมาย
หลังจากที่แมวตกหรือกระโดดลงมาจากที่สูง กระดูกชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งอยู่บริเวณหูชั้นในที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวของร่างกาย จะควบคุมให้ให้ร่างกายค่อย ๆ พลิกตัวทีละส่วน โดยเริ่มจากส่วนหัว เพื่อให้สมองคำนวณหาพื้นที่ที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อการทิ้งตัว
2. พลิกตัวทีละส่วน
จากนั้นแมวจะจัดระเบียบร่างกายให้กลับมาอยู่ในท่ายืนปกติ โดยพลิกลำตัวช่วงบริเวณขาหน้าทั้งหมดก่อนแล้วตามด้วยขาหลัง ซึ่งการที่แมวมีโครงสร้างของกระดูก และกล้ามเนื้อที่มีความยืดหยุ่นมากเช่นนี้ ทำให้พวกมันสามารถพลิกตัวในลักษณะดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้อีกด้วย
3. ขยายพื้นที่ลดแรงกระแทก
เหตุการณ์นี้ใช้หลักการเดียวกับกฎทางฟิสิกส์ กล่าวคือยิ่งวัตถุที่หน้าตัดพื้นที่มาก ระดับความเร่งของแรงโน้มถ่วงก็จะน้อยลง ฉะนั้นทุกครั้งที่แมวทิ้งตัวลงมาจากที่สูง ก็จะยืดร่างกายและกางอุ้งเท้าทั้ง 4 ข้างออก เป็นการสร้างแรงต้านอากาศ เพื่อชะลอความเร่งส่งผลให้ระดับความเร็ว และแรงกระแทกลดน้อยลงไปด้วย
4. เหยียดขาตรง
เมื่อถึงตำแหน่งที่กำหนดแมวก็จะเหยียดขาหน้าออกพร้อมกับโก่งตัวขึ้น เพื่อถ่ายแรงกระแทกไปยังข้อต่อในส่วนอื่น ๆ ซึ่งลักษณะการลงเช่นนี้ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้มากขึ้น แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่มักจะใช้ร่างกายทุกส่วนลงพื้นพร้อมกันก็จะมีโอกาสบาดเจ็บมากกว่า เนื่องจากไม่มีการผ่อนแรงกระแทกนั่นเอง
ทั้งนี้ไม่ว่าแมวจะตกจากความสูงในระดับไหนก็ตาม หากมีระยะเวลาสำหรับการจัดระเบียบร่างกายมากเพียงพอ โอกาสในการรอดชีวิตก็จะสูงขึ้น และเกิดการบาดเจ็บน้อยกว่าที่คิด ในทางกลับกันถ้าหากไม่สามารถจะพลิกตัวหรือกลับมายืนในท่าดังกล่าวได้ แมวก็มีสิทธิ์บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้เช่นกันคราวนี้คงหายสงสัยกันแล้วนะคะว่าทำไมแมวอึดและทนได้ขนาดนี้
No comments:
Post a Comment