Tuesday, February 18, 2020

วิธีลดน้ำหนักสำหรับแมวอ้วน ก่อนโรคร้ายมาเยือน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

   ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดเข้าไปในโซเชียลเน็ตเวิร์กไหน ๆ ก็มักจะมีรูปแมวปรากฏขึ้นมาให้เห็นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเจ้าแมวตัวกลมอ้วนที่หลายคนเทใจให้ด้วยความเอ็นดู ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรู้สึกชื่นชอบ หรือชื่นชม แต่อย่าลืมว่าแมวอ้วนเป็นความน่ารักที่อันตรายมากเลยทีเดียว เพราะโรคอ้วนในแมวก็เป็นต้นเหตุของโรคร้ายต่าง ๆ ไม่ต่างจากคนเช่นกัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ทาสแมวทั้งหลายจะช่วยพวกมันลดน้ำหนักเสียที เพื่อสุขภาพที่ดี และอยู่กับคุณไปนาน ๆ ด้วยวิธีลดน้ำหนักสำหรับแมวอ้วนดังต่อไปนี้ค่ะ

  1. เปลี่ยนจากการให้อาหารแมวธรรมดาเป็นอาหารแมวพลังงานต่ำ โดยการศึกษาในปัจจุบันพบว่า อาหารโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ ส่งผลดีกับการลดน้ำหนักมากที่สุด เนื่องจากอาหารโปรตีนสูงมีความใกล้เคียงกับอาหารแมวที่ได้จากธรรมชาตินั่นเอง

  2. เปลี่ยนวิธีการให้อาหารแมว โดยปรับจากการให้อาหารแบบบุฟเฟต์ หรือวางอาหารทิ้งไว้ เป็นการให้อาหารโดยแบ่งเป็นมื้อย่อย ๆ แทน ประมาณ 2-3 มื้อต่อวัน

  3. ไม่หยิบเศษอาหารบนโต๊ะที่เหลือจากการรับประทานอาหารให้แมวกิน แต่ยังสามารถให้แมวกินอาหารเสริมหรือขนมสำหรับแมวได้เล็กน้อยในระหว่างวัน

  4. คอยจับตาดูแมวอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่แอบไปขโมยกินอาหารจากที่อื่น หรือเศษอาหารที่เพื่อนบ้านให้มา

  5. ทำตารางเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักของแมวเป็นรายสัปดาห์ โดยน้ำหนักตัวแมวควรจะลดลงให้ได้ 1 เปอร์เซ็นต์จากน้ำหนักเดิมในแต่ละสัปดาห์

  6. ควรพาแมวไปออกกำลังเป็นประจำทุกวัน โดยในระหว่างที่ออกกำลังกายควรจะนำของเล่น หรือเกมเข้ามาใช้เป็นตัวช่วย เพราะทั้ง 2 อย่างนี้จะช่วยเติมความสนุกสนาน และเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานด้วย

  7. สัตวแพทย์บางคนแนะนำว่า ควรเลือกอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแอลคาร์นิทีน (L-Carnitine) ให้กับแมวอ้วน เพราะเป็นอาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อโดยปราศจากไขมัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากคิดจะให้อาหารเสริมกับแมว ก็ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนทุกครั้ง

  8. เมื่อแมวกลับมามีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ควรรักษาน้ำหนักใหม่ให้คงที่ ด้วยการให้อาหารที่มีคุณภาพสูงในปริมาณที่สมดุลกับความต้องการของร่างกาย

  9. ควรปรึกษาและให้ความร่วมมือกับสัตวแพทย์ในขณะที่ยังอยู่ในขั้นตอนของการลดความอ้วน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เนื่องจากหากน้ำหนักแมวลดลงอย่างรวดเร็วมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ หรือโรค Hepatic Lipidosis ได้


ทริคสำหรับลูกแมว

  การให้อาหารลูกแมว

          แม้อาหารแมวบางยี่ห้อจะระบุว่า เหมาะสมกับแมวทุกอายุ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการให้อาหารของคุณ ทางที่ดีจึงควรเช็กข้อมูลให้แน่ใจก่อนจะนำไปให้ลูกแมวกิน นอกจากนี้ควรจะให้อาหารกับลูกแมวบ่อยกว่าแมววัยเจริญพันธุ์ และเริ่มให้อาหารลูกแมวในปริมาณเดียวกับแมววัยเจริญพันธุ์ เมื่อลูกแมวอายุครบ 6 เดือน แต่อาจจะเพิ่มปริมาณให้มากกว่าเล็กน้อย แล้วค่อยลดปริมาณให้น้อยลงเมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่ 7

 วิธีป้องกันไม่ให้ลูกแมวกินเศษอาหาร

          คุณควรจะเก็บอาหารที่เหลือจากโต๊ะอาหารเข้าตู้เย็นให้เรียบร้อย ส่วนเศษอาหารก็ควรเทใส่ถุง พร้อมกับมัดปากถุงให้มิดชิดก่อนนำไปทิ้งในถังขยะ และถังขยะนั้นก็ควรมีฝาปิดหรือตัวล็อกด้วย อีกทั้งควรล้างจานให้สะอาดหลังรับประทานอาหารเสร็จทุกครั้ง ไม่ควรแช่น้ำหรือวางทิ้งไว้ นอกจากวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ก็คือ นำลูกแมวไปขังไว้ห้องอื่นในขณะที่คุณกำลังรับประทานอาหาร ที่สำคัญควรตรวจเช็กให้แน่ใจด้วยว่า ไม่มีอาหารหรือขนมของคนอยู่ในบริเวณดังกล่าว


          สัตวแพทย์ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า มีแมวกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ที่กำลังเผชิญกับโรคอ้วน ในขณะที่เจ้าของและคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องน่ารัก ทั้งที่จริงแล้วโรคอ้วนเป็นอันตรายกับแมวอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานในระดับ 2 ได้ ซึ่งถ้าหากคุณไม่แน่ใจว่า แมวมีน้ำหนักเกินหรือเปล่า ก็ควรพาไปเช็กให้เรียบร้อย และเริ่มลดน้ำหนักให้แมวอย่างจริงจังได้แล้ว หากอยากให้แมวอยู่กับคุณไปนาน ๆ 

https://pet.kapook.com/view89578.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/928797123135244743/

Monday, February 17, 2020

10 วิธี การที่แมวบอกรักคุณ



1. กระโดดนั้งตักคุณ แล้วก็ใช้หน้าถูกับตัวคุณ แมวส่วนใหญ่มักจะแสดงออกแบบนี้ เรียกว่าเป็นการแสดงออกแบบสากลก็ว่าได้

2. ส่งเสียงร้องเรียกคุณ "เมี้ยว เมี้ยว" เบา ๆ แล้วก็ทำหน้าอ้อน ๆ ทำตาหวานใส่แมวที่เรียบร้อยมักจะเป็นแบบนี้

3. กัดที่หน้าแข้ง หรือข้อศอกเบา ๆ เจ้าของบางคนจะไม่ชอบ และเข้าใจผิดว่าแมวดุ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการแสดงความรักของแมวระดับจ่าฝูงก็ว่าได้ เพราะพวกนี้จะอ้อนไม่ค่อยเป็น

4. นวดหลัง บางครั้งเมื่อคุณนอนอยู่จะเห็นว่าแมวจะขึ้นไปเดิน หรือเหยียบหลังคุณ
ถ้าหากคุณรู้สึกพอใจมันก็จะทำบ่อย ๆเพื่อให้คุณสบาย แมวพวกนี้จัดเป็นพวกไอคิวสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

5. หอมแก้ม บางครั้งเวลาอุ้มแมวจะถูกแมวหอมแก้ม อันนั้นมันบอกว่า " รักคุณมากเลยหล่ะ "

6. แมวใช้เท้าหน้าลูบหน้าคุณ หรือตบที่หน้าเบา ๆ
ลักษณะนี้ก็เหมือนกับความรู้สึกเวลาคุณลูบหน้าคนที่คุณรักนั่นแหละ

7. ลูบหน้า แล้วก็ร้อง ๆ เบา ๆ มันบอกคุณว่า " รักเจ้านายมากที่สุดในโลกเลย "

8. แมวเอาตัวมาถูที่ขา แรง ๆ แล้วก็ร้องดัง ๆ อันนี้เป็นการแสดงออกว่ารัก ของแมวประเภทหัวโจกชอบโวยวาย

9. กระโดดเกาะที่หลังเวลาเจ้าของนั่งลง แมวขี้เล่น หรือแมวที่ซุกซน หรือแมวเด็ก ๆ มักจะแสดงออกแบบนี้ก็เหมือนกับเวลาที่ตอนคุณเด็ก ๆ คุณก็อยากให้พ่อ อุ้มหลังขึ้นเหมือนกัน
10. มานอนซุกคุณเวลาคุณนอนหลับ อันนี้แสดงว่ารักมาก อยากอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้เวลาจะนอนหลับ
          แต่ถ้าแมวของคุณยังไม่แสดงออกแบบนี้ละก็ลองหันกลับไปดูว่า ได้ดูแลเขาได้ดีพอหรือยัง ถ้ายังก็ควรจะเริ่มใหม่เสียยังไม่สายจนเกินไปเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างคุณกับเจ้าเหมียวอย่างไรหละ




Sunday, February 16, 2020

การแก้ปัญหาเหมียวนิสัยเสีย - ความกลัวเมื่อต้องเดินทาง


ลบความกลัวเจ้าเหมียวน้อยเมื่อต้องเดินทาง และการแก้ปัญหาเหมียวนิสัยเสีย (โลกสัตว์เลี้ยง)

            หลายครั้งที่บรรดาพ่อ-แม่น้องเหมียวต้องออกไปเที่ยวไกล ๆ เดินทางไปนั่นไปนี่ ครั้นจะทิ้งเจ้าเหมียวไว้ที่บ้านก็กระไร ไปตั้งหลายวันก็ต้องมีห่วงว่าลูก ๆ ที่บ้านจะอยู่ยังไง กินยังไง นอนยังไง และอีกสารพัดห่วง ถ้าเป็นแบบนี้ก็หอบหิ้วกันไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไปเที่ยวกี่วันก็ไปได้อย่างสบายใจไม่ต้องมานั่งคิดนั่นคิดนี้ให้เป็นที่กังวลใจ เดี่ยวจะพาลไม่มีอารมณ์สนุกอีก สำหรับน้องเหมียวที่เดินทางไปไหนมาไหนกับ พ่อ-แม่เหมียวบ่อย ๆ เกาะติดไปทุกที่ทุกเวลาเดินทางก็ไม่น่ามีปัญหา แต่!! บรรดาเจ้าเหมียวที่ไม่เคยไปไหนเลย เป็นคุณหนูอยู่กับบ้าน แล้วอยู่ ๆ ดันมากลายเป็นผู้โดยสารจำเป็น เดินทางด้วยรถยนต์ครั้งแรกแบบนี้ ก็ต้องมีกลัวจนหัวหดกันบ้างแหละ ถ้าอย่างนั้นเรามาเรียนรู้วิธีการบรรเทาความกลัวให้เจ้าเหมียวในขณะเดินทางกันดีกว่าคะ โดยมีวิธีการดังนี้

            1. ให้เจ้าเหมียวคุ้นเคยกับสภาพที่อยู่ในรถยนต์เสียก่อน โดยการพาเจ้าเหมียวเข้าไปในรถพร้อมกับเราพูดคุยหยอกล้อเขาด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน อย่าเพิ่งรีบเดินเครื่องรถยนต์นะคะ ต้องรอให้น้องเหมียวของเรารู้สึกดี ๆ กับการอยู่ในรถก่อน แล้วค่อยลูบหัว พูดคุยกับเขา หรืออาจนำขนมและของที่เขาโปรดปรานมาให้เขาทานบนรถด้วยก็ได้

            2. ให้เจ้าเหมียวคุ้นเคยกับรถที่ติดเครื่องอยู่ ทำซ้ำในข้อแรกเลยคะ แต่ข้อนี้ให้เราลองติดเครื่องรถดู ถ้าติดเครื่องแล้วเจ้าเหมียวร้อง หรือมีท่าทีกระสับกระส่าย ให้เราอุ้มเขาเอามือลูบเขาเบา ๆ พร้อมทั้งพูดคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ อย่าใช้น้ำเสียงดุเขาเด็ดขาดคะ เพราะมันจะทำให้เขากลัวเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูน

            3. ให้เจ้าเหมียวคุ้นเคยกับรถที่วิ่งอยู่ การขับรถพาน้องเหมียวไปในครั้งแรก ให้เราลองขับไปในระยะทางที่สั้น ๆ ดูก่อน ถ้าเขาไม่รู้สึกตื่นกลัว หรือมีอาการผิดแปลกใด ๆ เลย ก็อย่าลืมให้รางวัลโดยการ จับสัมผัส พูดชมเชยเบา ๆ หรือไม่ก็ให้อาหารหรือขนมที่เขาชอบสักชิ้น การทำเช่นนี้บ่อย ๆ จะทำให้เจ้าเหมียวรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปัญหาต่าง ๆ หมดไปแล้วรถยนต์ก็จะเป็นสถานที่ดีเยี่ยมสำหรับเขาเลยละค่ะ เพราะทุกครั้งที่อยู่บนรถ เขาจะได้รับความสนอกสนใจเป็นพิเศษได้รับการดูแลและคำเยินยอจากคุณ เขาก็ยิ่งชอบค่ะ

            4. เริ่มพาน้องเหมียวออกไปปิกนิกในสถานที่ใกล้ ๆ กันก่อนเลย ข้อสำคัญที่บรรดาพ่อ-แม่น้องเหมียวต้องพึงปฏิบัติเวลาฝึกให้น้องเหมียวเดนิทางคือ พูดคุยหยอกล้อกับเขาก่อนและหลังฝึกเสมอ ในขณะที่เราขับรถไปก็สร้างความอุ่นใจให้เขาโดยการพูดคุยไปตลอดทาง แล้วปิกนิกครั้งหน้าของคุณก็อาจจะเพิ่มระยะทางให้มากกว่าเดิม เพื่อให้มั่นใจแน่นอนว่า ต่อไปนี้เจ้าเหมียวไม่ต้องกลัวกับการเดินทางไปไหนมาไหนอีกต่อไป

            สำหรับเจ้าเหมียวบางตัวที่ยังคงตื่นกลัวอยู่ แม้ว่าจะทำตามวิธีขั้นต้นแล้วก็ตาม ให้ลองเปลี่ยนมาใช้การพึ่งเวชภัณฑ์ปราบเจ้าเหมียว ให้สงบลงได้ หรือในกรณีเจ้าเหมียวหวาดกลัวจำเป็นจริง ๆ เพื่อว่าเขาจะได้สะลืมสะลือง่วงหลับไปตลอดทางเลยก็ได้คะ.... และนี่ก็เป็นวิธีการแก้ปัญหาเจ้าเหมียวขี้กลับการเดินทางแบบง่าย ๆ

แต่ปัญหาเจ้าแมวเหมียวที่เลี้ยงไว้ไม่ได้หมดแค่นี้นะสิคะ หลาย ๆ คนคงยอมรับว่า เสียงเจ้าแมวเวลาที่มักทะเลาะกันนั้น น่าลำคาญเสียนี่กระไร อยากจะจับขังเสียจริง แต่เมื่อหันไปมองสบตาอันป้องแบ้ว เจ้าของแมวก็ต้องใจอ่อนทุกที เป็นอันต้องปล่อยดีกว่า ปล่อยได้ไม่นาน ก็ออกไปกัดกันอีกละ แค่เสียงก็พอรับได้ แต่แผลเหวอะหวะตามลำตัวนี่สิดูทำจะเจ็บหนักหนาเอาการลำบากต้องพารักษาหมดเงินหมดทองอีกละ ฉะนั้นทางที่ดีเราควรหาวิธีป้องกันและแก้ไขโดยด่วน เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเหมียวและเพื่อหยุดยั้งเสียงที่มาทำลายสุขภาพจิตของเราด้วย วิธีการหย่าศึกเจ้าเหมียวอันธพาล สามารถทำได้ดังนี้

            1. หลีกเลี่ยงการตี และเลี่ยงการใช้มือของคุณยื่นไปใกล้บริเวณปากของเจ้าเหมียว การตีเจ้าเหมียวในขณะที่เขากำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ไม่ได้ช่วยอะไรเลยซ้ำร้ายยังเป็นการทำให้สถานการณ์ดูแลร้ายลง เป็นการเสี่ยงที่เขาจะอารมณ์เสียและพาลมาจู่โจมเราด้วย

            2. ใช้กระบอกฉีดน้ำอย่าศึก โดยการใช้กระบอกฉีดน้ำที่ใช้สำหรับพรมน้ำต้นไม้ มาพ่นใส่เจ้าเหมียวที่กำลังจู่โจมอยู่โดยเล็งไปที่จมูกของพวกเขาแล้วพ่นเบา ๆ ให้เขารู้สึกสำลักน้ำเล็กน้อย เพื่อให้เขาหยุดการต่อสู้แล้วหันมาใส่ใจอาการสำลักของตัวเอง แต่ถ้าอีกตัวมีทีท่าว่าจะเอาคืนแล้วละก็ พ่นน้ำใส่กันไว้เลยก็ดีคะ

            3. ไม้กวาดตัวช่วยแยก หาไม้กวาดมากั้นระหว่างเจ้าเหมียวทั้งสองตัวเพื่อแยกออกจากกัน เจ้าเหมียวที่กำลังเป็นฝ่ายจนมุมจะรีบฉวยโอกาสวิ่งหนี แต่ถ้าอีกตัวพยายามจะไล่ตามเพื่อจู่โจมอีกละก็ ฮึม!! ใช้ไฟฉาย หรืออะไรก็ได้ที่มีแสงจ้า ๆ ส่องไปยังตาเขา เจ้าเหมียวจะรู้สึกงง ๆ กับแสงแล้วจะรีบหาที่หลบแทบไม่ทันเลยละคะ

            4. ใช้เสียงรบกวนอื่น ๆ มาเป็นอุบายหักเหความสนใจอย่างเช่นใช้เสียงแตรเป่าดัง ๆ หรือหากระป๋องใส่เหรียญแล้วเขย่าดัง ๆ ขณะที่เขากำลังฟัดเหวี่ยงกันอยู่ เสียงจะเป็นตัวช่วยดึงดูดความสนใจให้แยกออกจากกัน แต่ถ้าตอนนั้นโกลาหลจนคุณไม่สามารถหาอะไรได้เลย ก็ใช้การตบมือดัง ๆ หรือไม่ก็ตะโกนดัง ๆ ใส่เลยคะ ระวังเขาหันมาจู่โจมคุณด้วยนะคะ

            ทางที่ดีไม่ควรปล่อยให้น้องเหมียวออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้านดีกว่าค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้ไปเจอแมวอันธพาลและเสี่ยงต่อการติดโรคร้ายด้วย...และอีกหนึ่งปัญหาที่บรรดาเจ้าของแมวทุกผู้ทุกคนต้องเจอ นั่นคือ ปัญหาเจ้าเหมียวชอบกระโดดขึ้นโต๊ะจริง ๆ แล้วสัญชาติญาณชอบอยู่บนที่สูงของแมวติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นการที่แมวชอบกระโดดไปบนที่สูงตามบนโต๊ะหรือหิ้งบูชาพระนั้น ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่บรรดาเจ้าของคงรับไม่ได้ที่เวลากินข้าวมักจะมีเจ้าเหมียวขึ้นมาร่วมโต๊ะด้วยเสมอ มีแมวนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนโต๊ะอาหาร หรือพบขนแมวเกลื่อนกลาดอยู่บริเวณนั้น ซ้ำร้ายบางครั้งทำให้ข้าวของของเราเสียหายอีกด้วย

            การตัดนิสัยเจ้าเหมียวตรงนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงแค่ให้เราคอยสังเกตว่า เจ้าเหมียวชอบขึ้นมานอนตรงไหนของโต๊ะ ให้เรานำกระดาษกาวสองหน้าอย่างเหนียวติดไว้ตรงบนโต๊ะก่อนที่เจ้าเหมียวจะกระโดดขึ้นเพียงแค่นี้เจ้าเหมียวก็เข็ดขยาดไม่กล้ากระโดดขึ้นมาอีกแล้วแหละคะ เพราะแมวมีนิสัยรักความสะอาดเป็นที่สุด ไม่ชอบอะไรที่เหนอะหนะ ถ้าอุ้งเท้าสกปรก เจ้าเหมียวก็จะเลียอยู่อย่างนั้นจนความเหนียวหลุดหายไป อาจจะดูสงสารไปซะหน่อยแต่วิธีนี้ก็คุ้มค่านะคะ กับอนามัยที่ดีของเราที่จะได้รับกลับคืนมา.....ลองนำไปใช้ดูนะคะอย่างน้อย ๆ ก็ช่วยแก้ปัญหาจากน้องเหมียวได้บ้างแหละคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก


https://pet.kapook.com/view44575.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/857232110306821511/

Saturday, February 15, 2020

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแมวเหมียวที่คุณอาจไม่เคยรู้


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

แมวเหมียวเป็นสัตว์น่ารัก ที่หลาย ๆ บ้านชอบเลี้ยงกันอย่างที่สุด เพราะนอกจากนิสัยขี้อ้อนแล้ว ความรักอิสระของมันที่ทำให้ไม่ต้องคอยดูแลมันโดยตลอดนั้น ก็ทำให้มันเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายมาก ๆ แต่นอกจากความขี้อ้อน น่ารัก ดื้อซนของมันแล้ว คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าเหมียวของคุณอีกบ้างนะ? วันนี้ กระปุกดอทคอมเลยขอรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแมวเหมียวที่คุณอาจไม่รู้มาฝากกัน เพื่อให้คุณได้รู้จักเจ้าเหมียวในอาณัติของคุณมากขึ้นค่ะ

            * แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ จำพวกเดียวกับเสือ สิงโต เสือดาว

            * แมวตัวเมียมีลูกได้ครอกละ 3-7 ตัว และตั้งท้องได้ทุก ๆ 4 เดือน

            * คุณสามารถอ่านอารมณ์แมวได้ จากดวงตาของมัน

            * อาหารแมวจำเป็นต้องมีไขมันผสมอยู่ด้วยเสมอ เพราะแมวไม่สามารถสร้างไขมันได้ด้วยตัวมันเอง

            * แมวจะตอบสนองต่อชื่อที่ลงท้ายด้วยเสียง "อี้" ได้ดีที่สุด เช่น จูดี้ แม็คกี้

            *  ลูกแมวจะอยู่กับแม่มันจนกว่าจะอายุได้ 9 สัปดาห์

            *  แม่แมวจะตั้งท้องนาน 58-65 วัน

            *  แมวที่ถูกพาออกไปจากบ้านไกล ๆ จะหาทางกลับบ้านเองได้ แต่ถ้าเจ้าของออกจากบ้านไปไกล ๆ มันจะไม่สามารถตามหาเจ้าของได้

            *  แมวสามารถกระโดดได้สูงกว่าตัวมัน 7 เท่า

            *  แมวหลายตัวกินนมวัว หรือผลิตภัณฑ์นมในท้องตลาดไม่ได้ มันจะท้องเสีย
10% ของกระดูกแมวอยู่ที่หาง

            *  แมวใช้เวลา 5 ชั่วโมงขึ้นไปในการเลียขนในแต่ละวัน

            *  แมวสามารถทำเสียงที่แตกต่างกันได้ถึง 60 เสียง

            *  แมวตัวผู้เริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุได้เพียง 7-10 เดือน

            *  แมวมีฟัน 30 ซี่ คือ ฟันหน้า 12 ซี่, ฟันกรามน้อย 10 ซี่, เขี้ยว 4 ซี่, และฟันกราม 4 ซี่

            *  แมวเป็นสัตว์ขี้เซา มันนอนได้มากถึงวันละ 16-18 ชั่วโมง

            *  แมวจะเป็นมิตรกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

            *  แมวมีชีวิตได้ถึง 20 ปี แต่โดยเฉลี่ยแล้วมันมีอายุขัยแค่ 14 ปีเท่านั้น

            *  แมวที่มีขนและผิวสีขาวที่หู มีแนวโน้มจะผิวอักเสบเพราะถูกแดดเผา

            *  แมวหายใจ 20-40 ครั้งต่อนาที

            *  แมวใช้กล้ามเนื้อกว่า 500 มัดในการกระโดด

            *  แมวไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้จมูกได้โดยตรง

            *  แมวมีขน 2 ชั้น ขนชั้นในละเอียดอ่อนนุ่ม ขนชั้นนอกยาวตรงมันวาว

          และนี่ก็คือความจริงเกี่ยวกับแมวเหมียวที่เรานำมาฝากกันวันนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ ข้อคงทำให้คุณ ๆ ผู้รักแมวทั้งหลายฉงน และได้เข้าใจเรื่องแมว ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนอย่างแน่นอน

https://pet.kapook.com/view56935.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/533324780885313114/



Friday, February 7, 2020

วิธีกล่อมแมวก่อนส่งเข้านอน เพื่อป้องกันแมวรบกวนช่วงกลางคืน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

 ในวันที่เราทำงานหรือจำเป็นต้องออกไปเรียนและทิ้งให้แมวอยู่บ้านเพียงลำพัง แมวเหมียวทั้งหลายคงเหงาไม่ใช่น้อย ดังนั้นเวลาที่คุณกลับมาพวกมันจึงรีบกระโจนเข้าใส่ด้วยความดีใจ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พวกมันไม่อยู่โดดเดี่ยวอีกแล้ว และใช้พลังงานทั้งหมดที่เก็บสะสมจากการนอนมาทั้งวันเพื่อเล่นกับคุณ ทั้งนี้ แมวเหมียวอาจเล่นจนพลิน เผลอ ๆ บางวันปลุกคุณจากเตียงให้มาเล่นกับพวกมันด้วย ซึ่งเหตุการณ์นี้คงทำให้คุณหงุดหงิดไม่น้อยเลย หากใครที่กำลังประสบปัญหาแบบนี้อยู่ วันนี้เราก็มีวิธีจัดการแมวเหมียวมาฝากกัน 

วิธีจัดการกับแมวเหมียวช่วงที่ไม่อยู่บ้าน

        ในระหว่างที่คุณไม่อยู่บ้านแมวเหมียวสุดที่รักอาจกระโดดไปนู่นมานี้ ทำให้ข้าวของภายในบ้านเสียหายได้ ดังนั้นในระหว่างที่คุณไม่อยู่ควรหากิจกรรมให้พวกมันทำด้วย โดยการทิ้งของเล่น และอาหารเอาไว้ให้พวกมันแก้หิวด้วย ทั้งนี้ ของเล่นที่คุณเตรียมไว้ไม่ควรจะซ้ำแบบเดิมหรือตั้งไว้ในที่เดิม เพราะพวกมันจะจดจำสถานที่ตั้ง และลักษณะของของเล่น ทำให้พวกมันเบื่อได้ง่าย ดังนั้นคุณควรดัดแปลงด้วยการเปลี่ยนที่ตั้งของเล่น หรือดัดแปลงของเล่นนิดหน่อย ด้วยการนำไปแขวนหรือติดเชือก ไหมพรม หรือผ้าลูกไม้พริ้ว ๆ เพื่อให้ของเล่นดูเคลื่อนไหวได้ รับรองเลยว่าแมวเหมียวของคุณติดใจจนไม่ไปไหนเลยล่ะ


วิธีกล่อมแมวก่อนและส่งเข้านอน

        ตอนทั้งวันที่แมวเหมียวอยู่ตัวเดียวเพียงลำพังคงเหงาไม่น้อย เพราะฉะนั้นหลังจากที่คุณกลับมาถึงบ้านควรให้เวลากับพวกมันสักหน่อยอย่างน้อยวันละ 15 นาที ในช่วง 5 นาทีแรกหยอกเย้าหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ กับแมวไปตามปกติ อย่างเช่น โยนบอลให้แมวไล่จับ หรือใช้ของเล่นหยอกแมวนิด ๆ หน่อย ๆ หลังจากนั้นพาพวกมันไปอึหรือฉี่ให้เรียบร้อย แล้วอุ้มมาวางไว้บนตักพร้อมกับเกาคาง หรือเกาท้องอย่างที่พวกมันชอบ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้พวกมันหลับลึกและหลับได้นานขึ้น หากไม่ได้ผลอาจเปลี่ยนมาให้อาหารแทน เพราะแมวจะนอนหลับได้ดี หลังจากที่ได้ทานอาหารมื้อใหญ่เข้าไป


วิธีจัดการหากโดนแมวรบกวนเวลานอน

        หากแมวรบกวนเวลานอนของคุณ ควรจัดที่นอนของพวกมันเอาไว้นอกห้อง เพื่อไม่ให้พวกมันมารบกวนคุณอีก แต่ถ้าแมวของคุณรบกวนด้วยวิธีอื่น อย่างเช่น ข่วนประตู หรือส่งเสียงร้อง ให้นำสิ่งของที่พวกมันไม่ชอบวางเอาไว้หน้าประตู อย่างเช่น สติ๊กเกอร์ หรือแผ่นกาวเหนียว ๆ ทั้งนี้หากลองทำทุกวิธีแล้วแต่แมวของคุณยังเปลี่ยนพฤติกรรม คุณควรพาแมวไปตรวจเช็กสุขภาพ เพราะอาจเกิความผิดปกติกับร่างกาย อย่างเช่น ระบบการดมกลิ่น การมองเห็น หรือการได้ยิน เป็นต้น เพื่อช่วยให้คุณและแมวนอนหลับได้อย่างสนิท และมีเวลาสำหรับการพักผ่อนมากยิ่งขึ้น

        จากนี้ไปหวังว่าทั้งคุณและแมวเหมียวจะนอนหลับกันอย่างมีความสุขและพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่มสักทีนะคะ อีกทั้งคงไม่ปวดหัวกับพฤติกรรมสุดแสบของเจ้าเหมียว และรบกวนการนอนของคุณอีกแล้วล่ะ และอย่าลืมนำคำแนะนำดี ๆ เหล่านี้ไปบอกต่อกันด้วยนะคะ


https://pet.kapook.com/view53415.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/747597606879500919/

Thursday, February 6, 2020

ไขข้อข้องใจ...เหตุใดแมวถึงเลียขน


ไขข้อข้องใจ...เหตุใดแมวถึงเลียขน (โลกสัตว์เลี้ยง)

          เหตุใดแมวจึงเลียขนเป็นเวลานาน เหตุผลที่ข้องได้ชัดเจนและรู้กันทั่ว คือเพื่อรักษาความสะอาดของร่างกาย เรามักจะคิดว่าส่วนใหญ่ เจ้าแมวเลียขนตัวเองเพื่อทำความสะอาดขนของตัวเอง แต่แท้จริงแล้วยังมีเหตุผลอีกมากมายที่น้องแมวเลียขน การเลียขนหรือดึงรั้งขน เป็นการกระตุ้นให้ต่อมรากขน ซึ่งอยู่ในขนแต่ละเส้น ขับสารที่อยู่ในต่อมรากขนออกมา ซึ่งช่วยให้น้องเหมียวสามารถกำจัดเศษขนที่หลุดร่วงและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกจากตัว อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้มีการเจริญใหม่ของชั้นผิวหนังและขนได้ดียิ่งขึ้น ช่วยทำให้ตัวเจ้าเหมียวกันน้ำได้ดีและไม่เปียกฝนอีกด้วย

          การเลียขนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังช่วยทำให้ขนของเจ้าเหมียวเรียบ ขนที่เรียบเป็นฉนวนที่ดี เพราะขนที่ตั้งเป็นฉนวนที่ไม่ดีมันอาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นกับตัวแมวที่อาศัยอยู่ในเขตอากาศหนาวได้ และไม่ใช่เพียงอากาศหนาวเท่านั้นที่เป็นปัญหาสำหรับเจ้าเหมียว อากาศร้อนอบอ้าวแบบภูมิอากาศในบ้านเราก็เป็นปัญหาสำคัญสำหรับเจ้าเหมียวเหมือนกัน

          ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ร่างกายเจ้าเหมียวจะสะสมความร้อนเอาไว้ในตัว ยิ่งร้อนมากเท่าไรความร้อนในตัวก็จะเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น เพราะแมวไม่มีต่อมเหงื่อเหมือนคน เขาจึงไม่สามารถระบายความร้อนในรูปแบบเหงื่อได้เหมือนคน วิธีที่ดีที่สุดที่เจ้าเหมียวทำได้ ก็คือเลีย..เลีย.. และก็เลียขนของตัวเองในช่วงนั้น แม้การหอบจะช่วยระบายความร้อนได้บางแต่ก็ไม่เพียงพอ ทางออกที่ดีที่สุดจึงต้องอาศัยการเลียขนให้ทั่วตัว ให้ขนเปียกเข้าไว้ให้มากที่สุด เมื่อน้ำลายระเหยออก ก็เหมือนกับเหงื่อระเหยออกจากผิวหนังของคนยังไงยังงั้นเลยล่ะค่ะ...

          หากแมวถูกแสงแดดพวกมันจะเลียขนของตัวเองมากขึ้น แต่!! ไม่ใช่เพื่อระบายความร้อนนะ อย่าเข้าใจผิด...หากที่เลียขนนั้นเพราะว่าแสงแดดที่ส่องลงมา ทำปฏิกิริยากับขนของแมวจนเกิดสารอาหารที่จำเป็นชนิดหนึ่งซึ่งก็คือ วิตามินดี แมวจะรับวิตามินดีด้วยการเอาลิ้นไปเลียขนที่ถูกแสงแดด เพื่อรับสารอาหารชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายนั่นเอง

          พฤติกรรมการเลียขนของเจ้าเหมียว ส่วนหนึ่งมาจากอาการเครียด เวลาแมวเครียด มีความกังวล หรือรู้สึกไม่ดี ก็มักจะแสดงออกโดยการเลียขนของตัวเอง แบบเดียวกับที่คนเราเกาศีรษะเมื่อเกิดอาการเครียด หรือคิดอะไรไม่ออก เมื่อเผชิญกับสภาวะความขัดแย้ง เจ้าเหมียวส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้มักจะแสดงออกด้วยการเลียขน O_O

บรรดาเจ้าของน้องแมว มักจะต้องเคยเห็นเจ้าแมวเลียขนของตัวเองทันที เมื่อเวลาเจ้าของจับ หรือนำมาอุ้มกอดเล่นที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเจ้าเหมียวต้องการให้ขนที่ยุ่งเหยิงหลังจากผ่านการกอดรัดฟัดเหวี่ยงจากเจ้าของ ให้กลับมาเรียบสวยเหมือนเดิม และประการสำคัญ ที่น้องเหมียวทำแบบนี้ก็เพราะต้องการให้เกิดความสมดุลของกลิ่น.....เมื่อเวลาบรรดาเจ้าของอุ้มน้องเหมียว กลิ่นตัวของท่านจะกลบกลิ่นตัวของแมวระดับหนึ่ง การเลียแต่งขนจึงช่วยให้เกิดความสมดุลของกลิ่น ช่วยลดกลิ่นของท่านลง และเติมกลิ่นของน้องแมวลงไปบนลำตัวของมันแทน
          สำหรับมนุษย์แล้ว การมองเห็นคือ สิ่งสำคัญ แต่สำหรับโลกของเจ้าเหมียว กลิ่นคือสิ่งสำคัญยิ่งกว่า และการที่มีกลิ่นมนุษย์ติดตัวเจ้าเหมียวมากเกินไป ถือเป็นสิ่งรบกวนต่อตัวของเจ้าเหมียวเอง เขาจึงต้องกำจัดให้กลิ่นเหล่านี้ให้หมดไปโดยทันที ไม่รีรอ การเลียขนจากการที่ถูกสัมผัสจากเจ้าของยังทำให้เจ้าเหมียวลิ้มรสของเจ้าของ เพื่ออ่านสัญญาณที่ได้รับจากกลิ่นที่มาจากต่อมเหงื่อของมือเราได้ ซึ่งความสามารถพิเศษนี้ เจ้าของอย่างเรา ๆ ทำไม่ได้แน่นอน.....ใช่ม๊า


และอีกหนึ่งประการ ที่เจ้าแมวเลียขน ก็เพื่อเพิ่มสายใยรักให้แก่กันและกัน ลูกแมวแรกเกิด จนมีอายุถึง 3 สัปดาห์จะมีแม่แมวคอยดูแลแต่งขนให้ แม่แมวยังเป็นผู้จัดการสอนให้ลูกเลียขน ไม่ใช่เพียงแต่ลูกแมวกับแม่แมวเท่านั้นที่เลียขนให้กัน แมวโตที่ถูกเลี้ยงมาด้วยกัน และมีความสำคัญสนิทสนมกันก็เลียขนให้แก่กันและกันด้วย วัตถุประสงค์ที่สำคัญนั้นมิใช่เพียงแต่รักษาความสะอาดให้แก่กันและกันเท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มสายใยมิตรภาพให้ระหว่างแมวทั้งสองตัว ตำแหน่งที่บรรดาแมว ๆ มักจะเลียให้กัน คือตำแหน่งที่ตัวเองเลียไม่ถึง จึงต้องพึ่งลิ้นตัวอื่น เช่น บริเวณหลังกกหู เป็นต้น ..^_^

          เห็นไหมล่ะคะ ว่าการเลียขนในชีวิตประจำวันของน้องเหมียวนั้น สำคัญมากขนาดไหน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยล่ะว่าในแต่ละวัน เจ้าเหมียวของคุณ ๆ ทำไมถึงอุทิศเวลาอันมีค่าให้กับการเลียขน แต่ทุกสิ่งบนโลกนี้มีได้ก็ต้องมีเสีย พฤติกรรมการเลียแมวไม่ใช่มีแต่ประโยชน์ โทษก็มีเหมือนกัน หากเป็นแมวที่ขนร่วงง่าย ๆ และขนยาวมาก ๆ เส้นขนที่เลีย จะสะสมปริมาณมากในทางเดินอาหารจนกลายเป็นก้อนขน (Hairball) และอุดตันทางเดินอาหารได้ง่าย ๆ แต่โดยปกติแล้วแมวสามารถสำรอกก้อนขนเหล่านี้ออกมาได้โดยไม่มีปัญหา แมวที่มีปัญหาเกี่ยวกับความรู้สึกมักจะเจอกับปัญหาก้อนขนได้ง่าย ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว บรรดาเจ้าของน้องเหมียว จึงต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่หาสาเหตุของความเครียด ความกังวลของน้องเหมียว และช่วยแก้ปัญหาให้เขา ส่วนแมวที่ขนร่วงง่ายหรือขนยาว เจ้าของแมวต้องคอยหมั่นแปรงขนให้เค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันขนพันตกค้างเป็นระยะ ๆ...

          พฤติกรรมการเลียแต่งขนของแมวเหมียวมักจะมีรูปแบบเป็นชุดที่เรียกว่า “การล้างสางขน” มีขั้นตอนประกอบไปด้วย

          1.    เลียปาก
          2.    เลียด้านข้างของอุ้งเท้าข้างหนึ่งจนเปียก
          3.    เอาอุ้งเท้าข้างที่เปียกถูบนหัว หู แก้ม และคาง
          4.    ทำให้อุ้งเท้าอีกข้างเปียกด้วยวิธีการเดิม
          5.    เอาอุ้งเท้าที่เปียกถูข้างหัว
          6.    เลียขาหน้าและไหล่
          7.    เลียลำตัว
          8.    เลียบริเวณอวัยวะเพศ
          9.    เลียเท้าหลัง
          10.  เลียหางจากโคนถึงปลาย

          และทั้งหมดนี้ก็เป็นขั้นตอนแต่ละขั้นที่เจ้าเหมียวของเราใช้แต่งองค์ทรงเครื่องตัวเขาแหละคะ การเลียแต่งขนนี้ หากเจ้าเหมียวพบอุปสรรคอย่างเช่นขนกระจุกของเส้นขนพันกันยุ่ง เจ้าเหมียวจะใช้ฟันของมันแกะหรือแทะเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็จะจัดการเลียขนของตัวเองต่อไป การแทะเท้าและกรงเล็บเป็นสิ่งที่บรรดาน้องเหมียวมักจะทำเช่นเดียวกันเพื่อกำจัดดินและสิ่งสกปรกออกไป และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งานของกรงเล็บ

          กระบวนการทำความสะอาดอันซับซ้อนของแมวนี้ แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ๆ ตัวอย่างเช่นหนูจะใช้เท้าหน้าทั้งคู่ในการแต่งขนที่หัว ขณะที่แมวจะใช้ด้านข้างอุ้งเท้าหน้าและบางส่วนของเท้าหน้าในการแต่งขน นอกจากนี้หนูยังนั่งบนหลังเท้าของมัน และใช้เท้าทั้งสองข้างสำหรับการแต่งขน แต่แมวจะใช้เท้าหน้าที่จะสลับกันไปพร้อมกับถ่ายน้ำหนักตัวไปยังเท้าที่ไม่ได้ใช้งาน สิ่งเหล่านี้โดยทั่วไปมนุษย์อย่างเรา ๆ ไม่ค่อยจะสังเกตถึงความแตกต่างสักเท่าไหร่ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่รู้ไว้ใช่ว่า......ใส่บ่าแบกหาม จริงไหมละค๊า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


https://pet.kapook.com/view44574.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/486881409730708353/

Wednesday, February 5, 2020

ไขข้อข้องใจ...ทำไมแมวต้องร้องเหมียว ๆ และร้องบ่อยจัง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

       เหมียว ๆ เสียงร้องที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ เจ้าแมวน้อย สุดน่ารักที่ชอบเดินมาคลอเคลียอยู่ข้าง ๆ คุณนั่นเอง หลาย ๆ คนมักจะคิดว่าเสียงเหมียว ๆ นั้นเป็นเพราะเจ้าแมวน้อยกำลังมีความสุข แต่จริง ๆ ในเสียงเหมียว ๆ ของพวกมันมีความหมายมากกว่าที่คุณคิดนะ และในวันนี้เราก็เลยนำความลับของเสียงเหมียว ๆ มาไข ให้คุณหายข้องใจกันไปเลย

       สัตว์เลี้ยงแต่ละชนิดก็มีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อใช้สื่อสารกับสัตว์ตัวอื่น ๆ และเจ้าของของมัน ซึ่งแมวก็ใช้เสียง เหมียว ๆ ของมันเป็นตัวช่วยในการสื่อสาร ซึ่งเหล่าแมวน้อยจะส่งเสียงร้อง ก็ต่อเมื่อพวกมันต้องการอะไรสักอย่าง อย่างเช่น ต้องการอาหาร หรือต้องการให้คุณเปิดประตูให้พวกมัน นอกจากนี้พวกมันยังส่งเสียงร้อง ก็ต่อเมื่อรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ หรือกำลังรู้สึกกังวลกับอะไรบางอย่างนั่นเอง 
   

       ฉะนั้นหากคุณอยากรู้ว่าเจ้าแมวน้อยของคุณอยู่ในอารมณ์ไหน ก็ลองสังเกตจากน้ำเสียงของพวกมันดูนะคะ เพราะพวกมันจะใช้โทนเสียงที่แตกต่าง เพื่อสื่อสารความต้องการแทนคำพูด อย่างเช่น พวกมันจะเสียงแข็งกว่าปกติ ก็ต่อเมื่อต้องการอาหาร แต่ถ้าหากไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากคุณ พวกมันก็จะทำเสียงนุ่ม และอ่อนลงกว่าปกติ เพื่อดึงดูดความสนใจจากคุณค่ะ

       แต่เสียงของแมวบางตัวนั้น ฟังค่อนข้างยาก หากคุณพยายามฟังหลายรอบแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจเจ้าแมวน้อยของตัวเองอยู่ดี ก็อาจจะเปลี่ยนวิธีจากการฟังเสียง มาสอนให้พวกมันใช้การกระทำ เพื่อสื่อสารแทนก็ได้ เช่น หยิบของเล่นมาให้คุณ เมื่อต้องการจะออกไปข้างนอก หรือสอนให้พวกมันเดินวนเป็นวงกลม หากต้องการอาหาร ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้คุณสามาถเข้าใจพวกมันได้ง่ายขึ้น

       นอกจากที่กล่าวมาแล้วหากเจ้าแมวน้อยของคุณ ส่งเสียงร้องผิดปกติ หรือเงียบจนผิดสังเกต ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ หรือละเลยไป เพราะพวกมันอาจจะกำลังป่วย หรือต้องการความช่วยเหลือจากคุณอยู่ก็ได้ และหากพบความผิดปกติจริง ก็ควรรีบนำส่งสัตวแพทย์ทันที เพื่อความปลอดภัยของเจ้าแมวน้อยสุดน่ารักของคุณ 

https://pet.kapook.com/view49836.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/747597606904663346/